วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

ScribeFire : ส่วนเสริมที่ขาดไม่ได้ .. สำหรับชาวบล็อคเกอร์ทั้งหลาย ..

ScribeFire : ส่วนเสริมสำหรับ browser ยอดฮิตอย่าง FireFox และ Chrome มาพร้อมกับ feature เด็ดๆ ให้ความสะดวกมากมาย ดาวน์โหลดฟรีจาก browser ที่คุณใช้อยู่ได้เลย

จากที่ลองใช้ดูกับทั้งสองเบราเซอร์แล้ว

ปัญหาที่พบบนจิ้งจอกไฟก็คือเรื่องของ font ที่แสดงภาษาไทยได้ไม่ถูกต้อง โดยจะมีปัญหาที่ส่วนของไตเติ้ล (หัวข้อของโพส) เป็นภาษาต่างดาวมันซะอย่างนั้น ซึ่งเป็นกับผู้ให้บริการอย่าง wordpress ส่วนผู้ให้บริการอื่น ใครใช้แล้วได้ผลเช่นไรช่วยมา comment บอกเพื่อนๆ คนอื่นๆ ด้วยจะขอบคุณมาก


ส่วนใน Chrome ขณะนี้ยังไม่พบปัญหาเรื่องตัวอักษรหรือภาษาไทย


อินเตอร์เฟซเข้าใจง่ายๆ แม้ว่าจะใช้เป็นครั้งแรกก็สามารถทำได้อย่างไม่ยากเย็น


ส่วนของอีดิทเตอร์มีเครื่องมือที่จำเป็นในการเขียนอย่างครบครัน เหมือนพิมพ์เอกสารใน MS Word นั่นแหละ


สามารถสลับไปแก้ไขกันในโหมด HTML ได้ด้วย สะดวกมาก แก้ไขโค้ดได้อย่างง่ายดาย ใครทำบล็อคควรเรียนรู้เอาไว้ได้ประโยชน์มากมายเชียวนะจะบอกให้


เขียนเสร็จก็กดปุ่ม Publish ง่ายๆ ก็ออนไลน์โพสของเราได้แล้ว แต่ถ้ายังเขียนไม่เสร็จก็ Save Progress เป็น Draft เอาไว้ก่อน ค่อยกลับมาแก้ไขอีกทีในภายหลัง

ส่วนวิธีติดตั้งก็สามารถเข้าไปติดตั้งได้ใน Menu > Tool > Add-ons ของเบราเซอร์ แล้ว search หาคำว่า ScribeFire เจอแล้วก็เลือก Install ได้เลย

ติดตั้งเสร็จก็ต้อง Restart เบราเซอร์ แล้วจากนั้นก็พร้อมเริ่มลงมือกันได้

ขอให้สนุกกับการเขียนบล็อคของคุณนะครับ

 

เขียนเมื่อ : วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ.2554 เวลา 16:58 น. GMT+7 ประเทศไทย
ผู้เขียน : Tombass

วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

ไปงานบวชที่พระปฐมเจดีย์ นครปฐม

วันนี้ (วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ.2554) มีญาติผู้ใหญ่ฝ่ายของย่าน้องเอแคลร์ท่านหนึ่งได้เข้าพิธีบวช โดยที่บ้านเราก็ได้มีโอกาสได้เดินทางไปร่วมพิธีในครั้งนี้ด้วย ออกเดินทางกันแต่เช้าเพื่อจะได้ไปให้ทันเข้าโบสถ์ตอน 9 โมงเช้า ถึงที่หมายได้ทันเวลาเฉียดฉิว ทันเวลาส่งนาคเข้าโบสถ์พอดี ร่วมพิธีได้ไม่นานป๊ะป๋าขอตัวออกไปเข้าห้องน้ำเพราะตื่นผิดเวลาระบบเลยปั่นป่วนไปสักเล็กน้อย ออกมาเจอน้องน้องเอแคลร์ก็บอกว่าอยากไปเดินชมรอบๆ ประปฐมเจดีย์ซักหน่อย ผู้ใหญ่เค้าก็เข้าไปบวชพระกันไป เด็กๆ อย่างเรา (555+ ทำเนียนไปด้วยเลย ..) ก็เดินสำรวจองค์พระกันไป

ไหนๆ ก็มาถึงพระปฐมเจดีย์กันแล้ว ลองมาดูประวัติของพระปฐมเจดีย์กันบ้างนะ เป็นเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ


พระปฐมเจดีย์

องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นปูชนียสถานอันสำคัญของประเทศไทย อยู่ภายในวัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร มีประวัติความเป็นมายาวนานในแผ่นดินสุวรรณภูมิ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์พระปฐมเจดีย์ เป็นพระเจดีย์ใหญ่ รูประฆังคว่ำ ปากผายมหึมา โครงสร้างเป็นไม้ซุง รัดด้วยโซ่เส้นมหึมาก่ออิฐ ถือปูน ประดับด้วยกระเบื้องปูทับ ประกอบด้วยวิหาร 4 ทิศ กำแพงแก้ว 2 ชั้น เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ของพระพุทธเจ้า เป็นที่เคารพสักการบูชาของบรรดาพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ทางวัดกำหนดให้มีงานเทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ ในวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 12 ถึง วันแรม 5 ค่ำ เดือน 12 รวม 9 วัน 9 คืน เป็น ประจำทุกปี

ประวัติองค์พระปฐมเจดีย์

พระปฐมเจดีย์ หรือเดิมเรียกว่า พระธมเจดีย์ มีฐานะเป็นมหาธาตุหลวง ของแผ่นดินสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า พระธมเจดีย์องค์นี้ อาจเป็นเจดีย์ที่สร้างขึ้น เมื่อคราวที่พระสมณทูต ในพระเจ้าอโศกมหาราช เดินทางมาเผยแผ่ศาสนายังสุวรรณภูมิ ก็เป็นได้ เพราะพระเจดีย์เดิม มีลักษณะทรงโอคว่ำ หรือทรงมะนาวผ่าซีก แบบเดียวกับพระสถูปสาญจี แต่ปรากฏว่ามียอดเป็นแบบปรางค์ ซึ่งพระองค์ฯ ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า อาจมีเจ้านายพระองค์ใดมาบูรณะไว้ก็เป็นได้ ซึ่งตรงกับความในศิลาจารึกหลักที่ 2 (ศิลาจารึกวัดศรีชุม) ของ พระมหาเถรศรีศรัทธาฯ อันได้กล่าวไว้ว่า พระมหาเถรศรีศรัทธาฯ ท่านทรงได้แวะมาบูรณะพระธมเจดีย์องค์นี้ ก่อนที่ท่านจะเดินทางกลับเมืองราด เมื่อคราวที่ท่านเสด็จกลับจากศึกษาพระพุทธศาสนาที่ลังกา ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชทานนามใหม่ว่า พระปฐมเจดีย์ ด้วยทรงเชื่อ ว่านี่คือเจดีย์แห่งแรกของสุวรรณภูมิ นั่นเอง

ในเรื่องนี้ นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีบางท่าน ได้ระบุว่า พระปฐมเจดีย์ไม่ได้เป็นเจดีย์ที่เก่าที่สุดของสุวรรณภูมิ แต่เป็น พระมหาธาตุหลวง ในยุคทวารวดี มากกว่า เนื่องด้วยเหตุผลประกอบหลายประการ โดยเฉพาะ การค้นพบเจดีย์ ที่มีอายุเก่าแก่กว่าพระธมเจดีย์ และหลักฐานลายลักษณ์อักษร ที่ระบุว่า " พระเจดีย์องค์นี้ เดิม ขอมเรียก พระธม " ซึ่งไม่ว่าจะเป็นชาวขอมจริงๆ หรือชาวลวรัฐ ซึ่งสมัยนั้นเราก็เรียกว่าขอม เช่น ขอมสบาดโขลญลำพง คำว่า ธม สำหรับชาวขอมนั้น แปลว่า ใหญ่ ตรงกับคำเมืองว่า หลวง ซึ่งเราก็เรียกพระนครธม ว่า พระนครหลวง ด้วยเหตุผลเดียวกัน

นอกจากนี้พระบรมราชสรีรางคาร รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว บรรจุที่ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์ พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม และฐานพระพุทธชินสีห์ วัดบวรนิเวศวิหาร ตามที่มีพระบรมราชโองการสั่งไว้ในพระราชพินัยกรรม ต่อมา ในพุทธศักราช 2529 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระอังคารของ พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีในรัชกาลที่ 6 ไปบรรจุไว้เคียงข้างพระบรมราชสรีรางคารรัชกาลที่ 6 ที่ใต้ฐานพระร่วงโรจนฤทธิ์

(ยังมีต่อ)

ข้อมูลจาก วิกิพีเดีย


เอ้า .. หลังจากจะเรื่องของเนื้อหาอันเป็นสาระดีๆ กันแล้ว ก็ไปต่อกันเลย ..

น้องเอแคลร์เดินถ่ายรูปเล่นได้เยอะทีเดียว เดี๋ยวรับชมพร้อมคำบรรยายภาพไปพร้อมๆ กันเลยก็แล้วกันนะ

  
เปิดกันด้วยภาพขององค์พระปฐมเจดีย์ และความงดงามของพระร่วงโรจนฤทธิ์

ตามเข้าไปชมพระบรมสารีริกธาตุกันด้านใน

 
พระบรมสารีริกธาตุ

 
ดูกันให้ชัดๆ อีกซักที .. ควรหาโอกาสไปไหว้สักครั้งเพื่อเป็นศิริมงคลกับตัวเองนะ

ไหว้พระบรมสารีริกธาตุเสร็จแล้ว ไปกันต่อเลย

  
หน้าทางลงไปศาลเจ้าพ่อปราสาททอง .. แอ็คท่าถ่ายรูปเฉยๆ ไม่ได้เดินลงไปดูหรอก

ไปไหว้พระกันต่อเลย

  
พระร่วงโรจนฤทธิ์ ศรีอินทราทิตย์ธรรโมภาส มหาวชิราวุธปูชนียบพิตร (ข้อมูลเพิ่มเติม)

เก็บภาพกันเอาไว้อีกซักหน่อย อยู่ใกล้แค่นี้ก็จริง .. แต่ก็ไม่ได้มาบ่อยๆ หรอกนะ ส่วนข้างๆ กันนั้นก็จะมีพระประจำวันเกิดให้ได้ไหว้ขอพรกัน ใครเกิดวันไหนก็ลองดูกันนะ

 
พระประจำวันเกิด .. วันไหน? ปางอะไร? ลองดูเอาเองนะจ๊ะ (ตามไปดูรูปกันใกล้ๆ ได้ที่นี่เลยจ้า ..)

ใครอยากรู้ว่าแต่ละวันมีพระประจำวันเกิดเป็นปางอะไรก็ลองตามไปดูกันตามเลยนะ

http://account.payap.ac.th/other/phraofday/phraofday.htm

ไปเดินชมรอบองค์พระกันต่อนะ

  

 
ตุ๊กตาจีนมีอยู่ในทุกทางขึ้นองค์พระ เพื่อคอยปกปักษ์รักษา

แล้วก็หมดเวลาเดินเล่น งานบวชเสร็จพิธีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา ตามให้ลงไปได้แล้วจะได้ไปกินข้าวเช้า (มื้อสายๆ แล้วล่ะ) กันที่ในบริเวณองค์พระนั่นแหละ กินอิ่มเรียบร้อยก็มุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ กันเลย ถึงบ้านบ่ายโมงนิดๆ เข้ามารถติดกันในเมืองนี่แหละ จบการเดินทางได้บุญกันไปถ้วนหน้า .. สาธุ ..

 

เขียนเมื่อ : วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ.2554 เวลา 18:00 น. GMT+7 ประเทศไทย
ผู้เขียน : Tombass

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

Zoundry Raven : โปรแกรมออฟไลน์ บล็อค อิดิทเตอร์ ชั้นดีแบบฟรีๆ

เหตุ .. คงเกิดจากวันนั้น ..

วันที่เครื่อง Laptop ตัวเก่งที่ใช้งานมานานเริ่มสิ้นสภาพ ขาดใจไประหว่างปฏิบัติหน้าที่ซึ่งก็แสดงอาการมาก่อนหน้านี้บ้างแล้ว เลยถอดฮาร์ดดิสก์เก็บไว้เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล แล้วส่งเครื่องเข้าศูนย์ไปซะ

ปัญหาก็คือตอนนี้ก็เลยไม่มีเครื่องใช้นี่สิ เลยหันไปใช้เครื่องเดสก์ท็อปอยู่พักนึงแล้วก็ไปได้ Laptop ตัวเก่ามาใช้โดยติดตั้ง Windows XP x64 Edition พร้อม Licensed ถูกต้องมาในเครื่อง

เอาล่ะสิที่นี้ โปรแกรม Windows Live Writer ที่ใช้เขียนบล็อคอยู่เป็นประจำนั้นไม่สามารถใช้กับ x64 Edition ได้ เป็นเหตุให้ต้อง search หาโปรแกรม Blog Editor ตัวใหม่มาใช้งาน

หลายๆ โปรแกรมทั้งฟรีแวร์, แชร์แวร์, เดโม ถูกดาวน์โหลดมาทดลองใช้ร่วมๆ 10 โปรแกรม และสุดท้ายก็มาพบกับโปรแกรมตัวนี้ที่ยืดหยุ่นมากๆ ตอบสนองความต้องการใช้ของผมได้เป็นอย่างดี มี Feature ที่จำเป็นครบถ้วน และที่สำคัญเป็นฟรีแวร์อีกด้วย

Zoundry Raven : Offline Blog Editor


มาดูหน้าตาของโปรแกรมกัน


หน้าของ Blog Manager


นี่เป็นหน้าของตัว Editor ของโปรแกรม


มี Wizard ช่วยในการตั้งค่าบล็อค Support โปรโตคอลของผู้ให้บริการยอดนิยมหลายๆ ที่

 

ขอเชิญดาวน์โหลดไปใช้กันได้ตามอัธยาศัยนะครับ ถ้าถูกใจก็ไป Donate ให้เค้าเพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้พัฒนาต่อไปด้วยนะครับ

ดาวน์โหลด คลิ๊กที่นี่ / Download Click Here

Password : Highlight from here || blogeditor ||

ดาวน์โหลดจาก Zoundry / Download from Official Website (no password reqiured)

บริจาค / Donate

เขียนเมื่อ : วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ.2554 เวลา 16:48 น. GMT+7 ประเทศไทย
ผู้เขียน : Tombass

วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2554

Welcome Back .. Pentax Z-10 ..

เมื่อวันก่อนนั่งอ่านเวบบอร์ดที่เล่นประจำอยู่ ก็มีการพูดกันถึงกล้องฟิล์ม โดยมีคนเปิดประเด็นถามถึงว่ามีใครในบอร์ดที่ยังถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์มอยู่บ้าง ก็ได้รับคำตอบว่ายังมีอีกหลายคนทีเดียวเพียงแต่จะเป็นการถ่ายเป็นครั้งคราวเพื่อรำลึกความหลังซะเป็นส่วนใหญ่

อ่านแล้วก็เกิดแรงบันดาลใจ อันตัวเรานี่ก็เติบโตมาในยุคของกล้องฟิล์มเหมือนกัน ยังมีความหลังฝังใจที่ดีๆ กับการล้างอัด เฝ้ารอถึงการได้เข้า DarkRoom เพื่อไปเจอกับไฟแดงๆ สลัวๆ ล้างฟิล์มกัน อัดรูปกันเอาไปใส่อ่างแล้วตากให้แห้ง เฝ้ารอดูผลงานแห่งความภูมิใจที่อุตส่าห์พากเพียรตรากตรำไปถ่ายกันมา

บางทีก็ดูไม่ได้เรื่องเอาซะเลย อันเดอร์ไปซะครึ่งม้วนล้างเสร็จแทบจะหมดกำลังใจ จะมีถ่ายได้บ้างเสียบ้างคละกันไป ตอนหัดใหม่ๆ วัดแสงก็ยังไม่แม่น เจอสภาพแสงยากๆ ก็จอดแล้ว บางทีกำลังอัดรูป เพื่อนตัวดีดันเปิดประตู LAB พรวดเข้ามา เฮ้ยยยย .. ภาพตรูดำไปครึ่งนึง เซ็งเรย

สมัยนั้น (ประมาณปี 2534-2535) เริ่มต้นพวกเราจะเรียนกันด้วยฟิล์มขาว-ดำ ยุคนั้นเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันจะใช้กล้องรุ่นฮิตในหมู่นักศึกษาก็คือ Pentax K-1000 นั่นเองจำได้ว่ารุ่นพี่ผู้หญิงที่สนิทกันเค้าก็ใช้ เจ้า K-1000 นี่แหละ แล้วก็แนะนำให้เราใช้กันด้วยจากรุ่นสู่รุ่นกันเลยทีเดียว ราคา (ดอนนั้น) ถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณ 4,900 บาท (ไม่มั่นใจตัวเลข หากผิดพลาดต้องขออภัยด้วย) ส่วนคนที่มีฐานะดีหน่อยก็จะไปเล่น NIKON FM2 ส่วน Canon ยังไม่ค่อยมีชื่อเสียงในหมู่นักศึกษาซักเท่าไหร่

แต่ผมเองที่เป็นคนติดตามเทคโนโลยีไม่ยอมล้าสมัย ช่วงนั้นระบบ Auto Focus กำลังเริ่มเข้ามามีบทบาทในตลาดและใช้กันในกล้องรุ่นใหม่ๆ ที่ออกในช่วงปีนั้นแต่เป็นในระดับโปรเป็นส่วนใหญ่ สำหรับ Entry Level แล้วก็มีเจ้า Pentax Z-10 นี่แหละที่เป็นกล้อง Program และ Auto Focus ยอมถ่อสังขารขึ้นรถเมล์ร้อนไปซื้อที่ร้านขายกล้องในซอยข้างพาต้าปิ่นเกล้าเพราะเห็นลงโฆษณาในหนังสือกล้อง สนนราคาตอนนั้นถ้าความจำไม่ผิดพลาดก็อยู่ที่ประมาณ 12,900 บาท แพงเลยทีเดียว แถม Filter, Tripod และกระเป๋ากล้องใบใหญ่อีกใบ เงินหมื่นในสมัยที่ค่ารถเมล์ร้อนยังราคาแค่ 3.50 บาทตลอดสาย ข้าวราดแกงใน ม.รามฯ จานละไม่ถึง 10 บาท ก็นับว่าเป็นจำนวนที่มากโขอยู่สำหรับประชาชนคนชั้นกลางทั่วๆ ไปของไทยในขณะนั้น

ยุคนั้นกล้องที่มีระบบโปรแกรมถ่ายภาพ (ซึ่งก็คล้ายกับโหมด A, S ในสมัยนี้) ก็จะมี NIKON FE, FE2, Canon AE-1 Program ส่วนที่มี Auto Focus ก็จะเป็นพวก MINOLTA MAXXUM 7000 แล้วยุคท้ายๆ ยังมี DYNAX 5, 7 อีกด้วย (อันนี้ไม่ชัวร์ มันนานมากแล้ว) อืมมมม .. มีอะไรอีกน๊า .. จำไม่ได้แล้ว

ส่วน OLYMPUS ต้องขอยอมครับเพราะไม่รู้เลย ไม่ใช่แฟนกบและไม่กล้าพาดพิงถึง เคยได้ยินชื่อแต่ซีรีย์ OM เป็นพวก OM-10 หรือยังไงนี่แหละ ไปถึง KODAK ก็ทำแต่กล้องป๊อกแป๊กใส่ฟิล์มกลักแบบ 110 ซะเยอะ ถ้าเป็นกล้อง Compact ใส่ฟิล์มม้วนแบบ 135 ก็มีในยุคหลัง

มาว่ากันถึงเรื่องฟิล์มกันบ้าง เจ้าพ่อฟิล์มยุคนั้นในระดับหัวแถวก็จะเป็น KODAK, FUJI, AGFA, KONICA ตามลำดับ เป็นยี่ห้อที่ชาวบ้านชาวช่องเค้าใช้กันทั่ว มายุคนี้ก็มีล้มหายตายจากกันไปบ้าง ที่เห็นหน้ากันบ่อยๆ ในช่วงนั้นก็ AGFA กับ KONICA นี่แหละไม่แพง เพราะใช้เยอะทั้งกลุ่มถ่ายกันทีนึงก็ร่วม 10-20 ม้วนกันเลย กระดาษอัดอีก โอยยยย .. หมดตรูดกันไปตามๆ กัน (แต่ก็ดี อดเหล้าไปได้เยอะเลย) นี่ขนาดล้างกันอัดกันเองที่มหา’ลัยนะเนี่ย

 

แต่ก็ทำให้ผมติดนิสัยดีๆ จากยุคฟิล์มมาก็คือ ก่อนจะลั่นชัตเตอร์แต่ละครั้งเนี่ย เราจะต้องรอบคอบกับทั้ง foreground / background ว่ามีอะไรแปลกปลอมหลุดเข้ามาในเฟรมหรือเปล่า? ดูแสงดูเงาให้ดี องค์ประกอบ ฯลฯ แล้วกลั้นหายใจ จากนั้นบรรจงกดชัตเตอร์อย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะสมัยนั้นไม่มีหรอก VR / IS / SR หรือระบบกันสั่นทั้งหลาย และที่สำคัญท่องเอาไว้เลยว่า หากพลาดแล้ว delete ไม่ได้ เข้า PS ไม่ได้ ต้องกลับมาถ่ายแก้ใหม่อย่างเดียวเลย ดังนั้นต้องพลาดให้น้อยที่สุดเพราะมันหมายถึงค่าใช้จ่ายต่อรูปที่สูงขึ้นนั่นเอง

พอผ่านมานานร่วม 20 ปีแล้ว อะไรต่ออะไรก็หลงๆ ลืมๆ กันไปบ้าง เหมือนกลับมาเริ่มหัดถ่ายรูปใหม่อีกครั้งเลย ก็ปวารณาตัวเองเป็นมือใหม่แต่หน้าเก่าๆ ของคนแก่ๆ ซะเลย (ฮึ .. ป๋มยังไม่แก่น๊า .. ยังเข้ากลุ่ม สว. ไม่ได้) เอาว่าเป็นแค่มือใหม่แต่หน้าเก่าอย่างเดียวก็พอล่ะ

แต่ดิจิตอลทำให้เราสบายขึ้นเยอะแยะ ถ่ายเสร็จสามารถมองเห็นได้เลย ไม่ต้องรอลุ้นตอนล้างอัด ผิดพลาดก็เห็นกันไปเลย แก้ไขกันเดี๋ยวนั้นเลย มีกันสั่นให้ วัดแสงผิดพลาดนิดๆ หน่อยๆ ก็ยังพอแก้ไขได้ มีลูกเล่นใหม่ๆ ปรับแก้ WB ได้เห็นผลทันที เป็นอะไรที่กล้องฟิล์มหมดสิทธิ์ทำได้ ใครใช้ฟิล์มคงต้องอิจฉาไปตามๆ กัน

ถ้าเราเอาข้อดีของทั้งสองยุคสมัยมารวมกัน น่าจะทำให้การถ่ายภาพของเรามีความสุข สนุกและมีสีสันขึ้นกว่าเดิมอย่างมากแน่นอน
ขอพูดถึงกล้องคู่ใจของผมในสมัยนั้นซักหน่อยนะครับ

Pentax Z-10 เป็นกล้อง SLR ใช้ฟิล์ม Negative มีระบบ Program และระบบ Hyper Manual ซึ่งก็เหมือนกับโหมด A ในกล้องสมัยนี้นั่นเอง เพราะเราเลือกรูรับแสงจากที่เลนส์ แล้วกด Half Release Shutter เพื่อวัดแสง แล้วจะมีปุ่มให้กดแล้วจะปรับค่า Shutter Speed ให้เราโดยอัตโนมัติ มีระบบ Auto focus และสามารถ Zoom โดยใช้มอเตอร์ที่เรียกว่า PowerZoom อีกทั้งสามารถล็อคระยะซูมในระบบ Zoom Clip เพื่อรักษาขนาดของวัตถุให้คงที่เมื่อระยะทางเปลี่ยนไป ช่องใส่ฟิล์มมีแถบที่สามารถอ่านรหัส DX หรือ ISO ได้เพื่อใช้เป้นค่าอ้างอิงในการปรับ Shutter Speed ใน Program & Hyper Manual ทันสมัยสุดๆ เลยในยุคนั้น

 

ไปค้นเจอกล้องตัวนี้อยู่ในตู้เสื้อผ้าของคุณพ่อของผม ในสภาพที่ปุ่มควบคุมเลนส์แตกหักหลุดออกมากองอยู่ที่พื้น เปิดไม่ติดไม่สามารถเช็คอะไรได้เลยว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เลยตัดสินใจออกไปโลตัสแถวๆ บ้านเพื่อซื้อแบตเตอรี่ 2CR5 ที่ร้านอมรในราคา 180 บาท แล้วก็เดินขึ้นไปซื้อฟิล์มที่ร้านอีสบอร์นได้ KODAK GOLD200 มา 1  ม้วนราคา 95 บาท กลับมาลองใส่แบตเตอรี่ดู ปรากฎว่าระบบถ่ายภาพโดยรวมยังคงทำงานได้อย่างราบรื่น จึงเอาเลนส์มาแกะๆ ซ่อมๆ ส่วนที่เสียหายให้เข้าที่เข้าทาง สุดท้ายก็กลับมาทำงานได้เต็มระบบอีกครั้ง

กล้องตัวนี้มีประสบการณ์ที่ดีร่วมกันเยอะแยะ ดีใจมากนะที่ได้กลับมาร่วมทางกันอีกครั้ง ยินดีต้อนรับกลับประจำการนะเจ้าน้องชายคนเก่ง

 

เขียนเมื่อ : วันจันทร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ.2554 เวลา 23:15 น. GMT+7 THAILAND
ผู้เขียน : Tombass

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554

หนังสั้น .. “I’m a doll .. ฉันคือตุ๊กตา” ..

เมื่อวานเข้าไป search ใน Google หาดูข้อมูลกล้องเลนส์และอุปกรณ์ เปล่าหรอกมิได้จะซื้อแต่ติดตามดูว่าเทคโนโลยีมันไปถึงไหนกันแล้ว กลัวว่าเดี๋ยวเราจะตกเทรนด์ไปซะก่อน ก็ดูไปเรื่อยไปลิ้งค์โน้นลิ้งค์นี้สะดุดกับหนังสั้นเรื่องนึงชื่อแปลกดี “I’m a doll ฉันคือตุ๊กตา” เลยลองนั่งดูจนจบเรื่อง

อ๊ะๆ อย่าทำเป็นเล่นไป เป็นงานของนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง ฝีมือใช้ได้เข้าท่าเลยทีเดียว เด็กๆ สมัยนี้เก่งและมีความสามารถมากๆ กันทุกคน ลองไปติดตามชมพร้อมๆ กันเลยครับ

 

เขียนเมื่อ : วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ.2554 เวลา 20:02 น. GMT+7 THAILAND
ผู้เขียน : Tombass

วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2554

เช็งเม้งปีนี้ .. ไหว้ย่าทวดแล้วไปเที่ยว .. อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยามกันต่อเลย .. (ตอนจบ)

>> คลิ๊กกลับไปดูตอนแรก <<

เอ้า .. เรากลับมาเที่ยวกันต่อเลยแล้วกัน สัญญาจ้ะ..สัญญา จะไม่โยกโย้ เยินเย้อยอกย้อน วนเวียนวกวน ลีลายียวนกวนบาทาท่านผู้อ่านอีกแล้ว แหม..ก็กว่าจะเริ่มเรื่องได้แต่ละครั้ง เอ็งก็เล่นโปรยหัวไปซะ 3 ย่อหน้ายาวๆ เนื้อหาไม่เห็น มีแต่น้ำเต็มทุ่ง โม้กันเป็นคุ้งเป็นแคว คราวนี้เอาจริงแล้วแบบเนื้อๆ เน้นๆ มาติดตามชมกันเล๊ยยยย

คราวที่แล้วในตอนที่ 1 บอกเพื่อนๆ เอาไว้ว่าคราวนี้จะพาไปเข้าถ้ำเวชสันดรชาดก ไปดูกุฏิพระสี่ภาค ไปดูบ้านไทย อืมมมม..แล้วมีอะไรอีกนะ..? เดี๋ยวลองตามไปดูกันดีกว่า ถ้ารูปมันเยอะอีกก็อาจจะมีตอนต่อไป (มันเริ่มเยิ่นเย้ออีกแล้ว..) .. อิอิ .. (ข้างบ้านแซวมา..บอกว่าพอแล้วแก..จะยาวไปถึงไหน)

เริ่มกันได้ ณ บัดนี้ ..

 
เด็กๆ ครับ จำได้ไม๊? เรื่องมันเริ่มกันที่ชูชกมาทูลขอกัณหา ชาลี กับพระเวชสันดร

  
เพื่อเอาไปเป็นทาสรับใช้, เจ้าชูชกเป็นขอทานเจ้าเล่ห์เพทุบาย / พระเจ้ากรุงสีพีไถ่ถอนตัวของสองกุมารจากชูชก

  
ชูชกได้กินอาหารมากมายอย่างตะกละตะกลาม ไม่รู้จักพอ / และแล้วก็ต้องท้องแตกตายเพราะเดโชธาตุไม่ย่อย

เรื่องมหาเวชสันดรชาดก มีทั้งหมด 13 กัณฑ์ ที่อยู่ในถ้ำพระเวชสันดรชาดกนั่นคือ “กัณฑ์ที่ 11 มหาราช” เรื่องราว, ตัวละครมากมายและสถานที่ต่างๆ ในชาดกเรื่องนี้สามารถหาอื่นเพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์นี้ http://www.mahachat.com/index.php/2010-07-12-09-45-53/2010-07-14-01-33-27 

ออกมาจากถ้ำสู่แสงสว่างอีกครั้ง

  
ก้อนหินใหญ่เป็นป้ายบอกทาง / พักเหนื่อยกันก่อน ร้อนอบอ้าวเหลือล้น ได้น้ำเย็นๆ กับไอติมซักแท่ง..ค่อยยังชั่วหน่อย

พักกันหายเหนื่อยดีแล้ว ก็เดินๆๆ กันต่อ ไปดูกุฏิพระสงฆ์ 4 ภาคกัน และไปดูพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของภาคต่างๆ หลายๆ รูป

 

  
กุฏิพระสงฆ์ภาคกลาง / ภาคอีสาน / ภาคเหนือ.. อ้าวววว..แล้วภาคใต้ไปอยู่ไหนล่ะ?.. สงสัยผมลืมถ่ายมาด้วย เดี๋ยวขอหารูปก่อน..

  
บันไดไม้ ให้บรรยากาศแบบสงบๆ แต่แอบน่ากลัวลึกๆ นะเนี่ย / เจอแล้ว..กุฏิพระสงฆ์ภาคใต้

  
สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี / สมเด็จพระสังฆราช อยู่ ญาโณทัย

  
หลวงปู่เหรียญ / พระอาจารย์มั่น

 
พักสายตาจากเกจิอาจารย์หลายๆ รูป มาดูกุฏิพระสงฆ์ภาคเหนือซักหน่อย สถาปัตยกรรมแบบล้านนา เอ๊ะ..แต่ดูเหมือนขาดอะไรไปน๊า..

  
หลวงปู่แหวน / ครูบาเจ้าศรีวิชัย

  
หลวงปู่ทวด / พระอาจารย์ทิม

  
ถัดมาก็จะเป็น หอสวดมนต์ / มีพระอาจารย์หลายๆ รูปอยู่ที่นี่

หมดจากส่วนพื้นที่จัดแสดงกุฏิพระสงฆ์ 4 ภาคแล้ว มาเดินดูกันต่อเลยครับ.. บอกแล้วว่าไม่มัวแต่ลีลาโยกโย้แล้วจ้ะ.. แต่ก่อนไปขอน้องเอแคลร์พักดื่มน้ำผลไม้กันซักแป๊บนึงนะ มีต้นไม้เยอะก็จริง แต่ความร้อนของอากาศที่ต้องโดนแสงอาทิตย์แรงๆ ตลอดช่วงบ่ายของภาคตะวันตกอย่างจังหวัดราชบุรี ทำให้ความร้อนสะสมของอากาศสูงมาก อุณหภูมิเลยสูงตามไปด้วย ร้อนจนเหงื่อโทรมกายเสื้อแสงเปียกปอนกันเลยล่ะ เหงื่อไหลไคลย้อย หาร่มเงาได้ก็จริงแต่อากาศโดยรอบก็ยังร้อนอบอ้าวอยู่ดี..โอยยยย..แฮ่กๆๆๆ..

 
พักกินน้ำกันก่อน มีน้ำตกด้วยตรงนี้ ค่อยเย็นขึ้นมาหน่อย..น้ำตกช่วยได้เยอะเลย

ไปกันต่อดีกว่า พักนานแล้วเดี๋ยวเจ้าตัวเล็กเกิดขี้เกียจเดินอีกจะยุ่งกันใหญ่ เกือบจะครบหมดทุกพื้นที่แล้ว ไปดูบ้านไทย 4 ภาคกัน นี่ก็เกือบจะถึงทางออกแล้วล่ะ

  
มีทางแยก 2 ทางให้เลือกเดินชมกัน แต่น้องเอแคลร์เกิดปวดท้องขึ้นมา เอาล่ะสิ งานนี้รีบจ้ำกันเต็มที่ไม่ต้องแวะซักภาคกันเลย

 
เดินผ่านแบบรีบๆ จ้ำพรวดกันทั้งสองพ่อลูก ไม่ได้แวะเข้าไปดูข้างใน เก็บภาพไว้เฉพาะข้างนอกก่อนแล้วกันคราวหน้าค่อยมาใหม่.. ทายซิ บ้านแบบนี้ของภาคอะไร..(โห..เป็นไง..ยากไม๊ๆ ..ฮ่าๆๆ)

 
เสร็จธุระจากห้องน้ำก็มานั่งที่น้ำตกใหญ่ ที่คุณปู่คุณย่าคุณอานั่งรออยู่ ด้านหลังน้ำตกนั่นก็คือถ้ำพระเวชสันดรชาดกนั่นเอง เก็บไว้อีก 1 รูปก่อนจะถึงทางออก

 
พื้นที่จัดแสดงสุดท้ายแล้ว ผ่านจุดนี้ก็จะกลับไปที่ทางออก ซึ่งเป็นประตูเดียวกับที่เราเข้ามานั่นเอง

ทิ้งท้ายกันด้วยรูปของ “พระอวโลกิเตศวร” ก็แล้วกันนะ

ออกมาขึ้นรถได้ก็รีบเปิดแอร์แรงสุด เปิดกระจกเอาไว้ก่อนเพราะที่จอดรถไม่ได้อยู่ในร่มจอดตรงไหนก็ร้อนได้เท่าเทียมกันทุกคัน เป็นหลักแห่งความเสมอภาค สมาชิกพร้อมใจรีบกระโดดขึ้นรถอย่างรวดเร็ว คุณปู่คุณย่าคุณอายืนรออยู่ใต้ต้นไม้หน้าทางเข้า ออกรถได้ก็มาจอดเทียบท่ารับขึ้นรถกัน เท่านี้ก็พร้อมเดินทางกลับบ้านกันแล้ว ป๊ะป๋ารับหน้าที่พลขับเช่นเดิม เพราะทุกคนลงความเห็นว่าป๊ะป๋าขับได้ปลอดภัยที่สุด ใจเย็นที่สุดในบ้าน

ออกสู่ถนนเพชรเกษมมุ่งหน้ากลับทางนครปฐม รถติดเล็กน้อยที่นครปฐมเลยแวะ 7-11 ซื้อน้ำซื้อขนมกัน ซื้อของกินซื้อข้าวกล่องให้น้องเอแคลร์ เลยได้รับสิทธิ์แลกซื้อสินค้าโปรโมชั่นในราคาถูก คราวนี้เลยช็อปกันซะยกใหญ่ เสบียงเต็มคันรถกันไป แล้วจากนั้นก็วิ่งยาวๆ เข้ากรุงเทพฯ ใช้เส้นทางถนนเพชรเกษมแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนพุทธมณฑล มุ่งหน้าตรงเข้าสู่แยกบางพลัด เลี้ยวซ้ายสู่ถนนจรัญสนิทวงศ์ข้ามสะพานพระราม 7 ขึ้นสะพานข้ามแยกวงศ์สว่าง แยกประชานุกูล ข้ามถนนวิภาวดี ข้ามแยกรัชโยธิน ลงสู่ถนนรัชดาภิเษกผ่านหน้าศาลถึงแยกรัชดา-ลาดพร้าว เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนลาดพร้าวตรงไปยาวๆ จนถึงบ้านโดยปลอดภัยหายห่วงในช่วงเย็นวันอาทิตย์นั่นเอง

ขอบคุณที่ติดตามรับชมกันจนจบทั้ง 2 ตอนนะครับ เอาไว้คราวหน้าจะพาไปเที่ยวด้วยกันอีกนะ

ชมภาพเพิ่มเติมที่
https://plus.google.com/u/1/photos/103736898918551133698/albums/5863026170389352865

 

>> คลิ๊กกลับไปดูตอนแรก <<

 

เขียนเมื่อ : วันจันทร์ที่ 4 เมษายน พ.ศ.2554 เวลา 23:55 น. GMT+7 THAILAND
ผู้เขียน : Tombass