วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

หลง .. ทาง ..

y_1tdwKl0xm-NyFjAbepNabbYB3Zv2Zb2aC5vAi9C0U8dOg4DECoH6DBKOF8naAlEkoQ41lolm3y7F6ovgwi3s3uJjd0gsi_C4dtUV3Ws7fQ1vn_IyLNjXlUaeF7ntpqYF1ysuK66h0IvKJi4GjnHVG92lB4EJb7jS5388bOXYMG_xzaPfmx-FuZm69zls2w0Nk6qNmVz9Cl_ArQq9_XdKKJrewPRzd0NLJkUG46AGAFg_BWkSsPpIzVrCwKaKAcTSrZXhl0NKgITwazeKoJIerrWQWHMvd8q9Wp_T9C9FVlXtdRYn00SUm6tSxtbyAN1GvDRzk9HlrFuUf4XtIJB0mrS1Kj-ND7plfKg0U9M34af8jwj8psINd3LyGv_8ciQE1-zOcCxOZ7dwQQHnbSzx7iTI8q2gMQ7ewz4p-YUzl5iS9GaSACAFbmukHaZMQHt0pBbrzv2vqZCBY9DogvAL-myHplExXVBlRl6KYUeZuQqRYimIOos36rMqPAcdogaDEpCiyorl5UjZ0LMa9pdlHfQnfKnMYVZ69_y4sGuxw=w900-h600-no
ขอขอบคุณภาพจาก www.thaihealth.or.th

บ้านแสนสุขของผมเป็นบ้านหลังเล็กๆ ขนาดราวห้าสิบตารางวา อยู่ในซอยห่างจากถนนหลักของหมู่บ้านประมาณสามสิบเมตร ปากซอยเคยมีร้านอาหารกึ่งผับที่เลิกกิจการปิดทิ้งร้างเอาไว้หลายปีแล้ว แล้วทุกปีในวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสิบสองวันเพ็ญที่น้ำก็นองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง(มาขายกระทงกัน)สนุกจริงๆ วันลอยกระทง ก็เพราะว่าจะมีพ่อค้าแม่ค้าขับรถหรูหราราคาเป็นล้านอย่างคัมรี่ บีเอ็ม เบนซ์มาจอดในซอยแล้วเอากระทงที่ทำเองมาตั้งขายกันที่หน้าร้านอาหารร้างที่ว่านั่นเป็นประจำทุกปี ผมเองก็ได้แต่นอนกระดิกเท้าเกาพุงพลุ้ยๆ ของผมอย่างสงสัยว่าเค้าขายกระทงกันจนรวยขนาดซื้อรถราคาเป็นล้านมาขับกันได้เลยหรือนี่ แต่ก็ได้แค่สงสัยเพราะคงไม่กล้าเสนอหน้าออกไปถามกลัวเค้าจะย้อนเอาว่าแล้วมันเรื่องอะไรของคุณ(มึง)ด้วยว๊ะ..!?!?!?

สิ่งที่มาคู่กับเทศกาลลอยกระทงแบบขาดกันไม่ได้เลยก็คือประทัด พลุ ตะไล ไฟพะเนียง กระเทียม โอ่ง ฯลฯ และช่วงหลังๆ มานี่เริ่มจะมีโคมลอยพ่วงเข้าไปด้วย ซึ่งผมจะไม่ชอบเสียงดังของเจ้าของเล่นทรมานบันเทิงพวกนี้เอามากๆ ได้ยินทีไรเป็นต้องวิ่งหางจุกตูดเข้าไปหลบในบ้านทุกที นับเป็นช่วงเทศกาลที่ทรมานหูตั้งๆ ของผมเป็นที่สุด

วันนี้ก็เช่นกัน เสียงพลุ เสียงประทัดแล้วก็เสียงอะไรต่อมิอะไรเริ่มดังกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด ผมก็ออกอาการกลัวลนลานเช่นทุกครั้ง รู้สึกว่าทำไมเสียงมันดังสนั่นหวั่นไหวราวกับฟ้าจะถล่มขนาดนั้น หรือว่าหูของผมจะดีเกินไป จนมาได้ยินเสียงแว่วๆ เรียกชื่อผมดังมาจากหน้าบ้าน ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกก็เพื่อนชาวต่างชาติของผมที่อยู่บ้านข้างในสุดซอยนั่นเอง แซมมาจากเยอรมันตั้งแต่ยังเล็กๆ มาอยู่ในซอยเดียวกับผมเมื่อสองปีก่อน ตอนนี้ก็เป็นวัยรุ่นเต็มตัว ส่วนผมมาจากวัดแถวฝั่งธนฯ มาอาศัยอยู่บ้านเจ้านายใจดีในซอยนี้ตั้งแต่ยังเล็กเหมือนกัน เพราะอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ชอบอะไรเหมือนๆ กัน ตกเย็นก็จะพากันไปวิ่งออกกำลังกายรอบทะเลสาบที่สวนสาธารณะประจำหมู่บ้านด้วยกันบ่อยๆ เราก็เลยสนิทสนมกันมากเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้นเวลาแซมจะไปไหนก็มักจะมาชวนผมไปเป็นเพื่อนด้วยเสมอๆ

6VQ20MF2Hcs6PLqYxV5-EYKuldrg53hxOGksjm9OInVePYclgG5r2BzJN3D4NrJdiw_BH3mE3xaVkHGtmjKg_oSNwaLdBf9YdMb4EjjkLYlJKbrB4GfffdB1k_v6Q1Brdz4H3SdIWQV7t0eBgwBDpM4ZLTBN_0VuLx8_qrGBwjYygHDjcVcvoBBQ2XTBW-9bIKWoKBu395yMVzkJNnGQRh_iwVLyhSV4bTJQP8cBAw77zurg7gZtpdWALijnA3uHoOIrgCWbF4Hrkq2XahTui858bPBaZp-t0tm1wqrLZpD4xt306F9QGKCMdzdOAzsNguaG0LL7KL7EbZ317cm1Dxtq4gIFA8F_VUzxUv1RVVMLMCM6mbNlOrOCrbI9mmUOMLIAuaUCoEz24WYdxRb_lLdGXeYlzrC2irtCrtWyWT49knepO8qIZoJskGLW5YIXIlYeOS-npmZrFW4u6Jy0UvtWIIgs4E5-zW6K7ja1K2BMldsoj-rl4mgLcivfT2KPQ1MCZL-K3J9ZzAr8EfD2crAkRofRFA-OfDOIuhGQ0w8=w900-h679-no
นี่คือแซม เพื่อนรักของผม (ขอบคุณภาพจาก forum.khonkaenlink.info)

และวันนี้ก็เช่นกัน แซมมาชวนผมออกไปเดินเที่ยวงานลอยกระทงที่ริมทะเลสาบประจำหมู่บ้านที่ทางกรรมการหมู่บ้านจัดเป็นประจำทุกปี เพื่อคืนความสุขให้ลูกบ้านออกมารื่นเริงบันเทิงสุขสนุกสนานกันในเทศกาลขอบคุณพระแม่คงคา แต่ปีนี้พิเศษหน่อยตรงที่มีการเปิดให้คนที่อยู่รอบๆ หมู่บ้านเข้ามาเที่ยวงานลอยกระทงของหมู่บ้านได้ จึงทำให้ทั้งคนทั้งรถติดขัดกันอยู่ในถนนหลักของหมู่บ้าน เพราะมีการออกร้านขายของตามริมถนนตลอดทาง การละเล่นประจำงานวัดมากันครบถ้วน ทั้งชิงช้าสวรรค์ ยิงเป้า ปาโป่ง โยนห่วง สอยดาว สาวน้อยตกน้ำ และของกินสารพันสารพัดทั้งก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย กระเพาะปลา ลูกชิ้นปิ้ง ลูกชิ้นทอด สายไหม ขนมครก ลาบ น้ำตก ซกเล็ก ส้มตำ ซุปหน่อไม้ ที่ขาดไม่ได้ก็ป๊อปคอร์นที่หวานเยิ้มไปด้วยคาราเมลกับอีกอย่างคือตังเมที่เหนียวยืดเคี้ยวหนืดติดเหงือกติดฟัน โอ้ววววว .. นี่มันสวรรค์ของผมกับแซมชัดๆ เราเดินไปแวะกินกันไปอย่างเพลิดเพลินจนผมลืมเรื่องของเสียงประทัดไปเสียสนิท

ระหว่างนั้นก็มีผู้คนจำนวนมากนำกระทงมาลอยกันในทะเลสาบ เบียดเสียดเยียดยัดกันจนแทบจะไม่มีที่ยืนราวกับกำลังดูการแสดงสดของศิลปินคนโปรด เรียกได้ว่าพอคู่หนึ่งลอยเสร็จกระทงของคนอื่นก็ลอยเข้ามารวมกันเป็นกระจุกจนแทบจะมองไม่ออกว่ากระทงของใครเป็นของใคร จนกลายเป็นภาระของเด็กที่ลอยคออยู่ในน้ำว่ายตามเก็บเศษสตางค์ที่อยู่ในกระทงกันแทบไม่ทัน

ผมกับแซมก็ไม่ได้สนใจอะไรกับการลอยกระทงสักเท่าไหร่เพราะของกินที่กองอยู่ตรงหน้ามันช่วยพาให้อารมณ์ของเราทั้งคู่สู่อาการฟินเว่อร์ กินกันไปดูกันไปเพลินๆ เรื่องสนุกๆ มีความสุขแบบนี้คนไทยชอบนักแล ไม่ว่าจะเทศกาลไหนทั้งของไทย จีน ฝรั่ง แขก พี่ไทยเราขอร่วมแจมด้วยทุกงานตามนิสัยอันเป็นพื้นฐานประจำชาติมาแต่โบราณ

“ปังงงงงงงงงงง ..”

จู่ๆ ก็มีเสียงดังกัมปนาทราวกับว่าฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาบนหัวของผมกับแซม เราต่างวิ่งเตลิดกันแบบไม่คิดชีวิต กระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง ผมใส่ตีนหมาวิ่งควบเต็มกำลังที่มี โกยอ้าวสี่ขาแบบไม่เหลียวหลัง ชนิดที่แชมป์โอลิมปิคอย่างยูเซน โบลท์ ยังเห็นแค่ฝุ่นที่ตลบอบอวลจากรอยเท้าเล็กๆ ของผมแค่นั้น เพราะเสียงของมันดังมากๆๆๆๆ ดังเสียจนแก้วหูของผมแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ผมวิ่งแบบไร้ทิศทางมานานเท่าไหร่ไม่รู้? รู้แต่ว่าตอนนี้เหนื่อยมาก หัวใจเต้นเร็วจี๋คงราวๆ สักหนึ่งร้อยแปดสิบครั้งต่อนาทีน่าจะได้ ร่างกายระบายความร้อนแทบไม่ทันเพราะธรรมชาติของผมไม่มีเหงื่อให้ไหลออกมาอยู่แล้ว ก็เลยต้องอาศัยวิธีหอบลิ้นห้อยหายใจทางปากให้น้ำลายไหลยืดแทน

hz0bgaBpCu7ISynKSUn0AW6OdY7j6HJmjN2DY1XVNnHxFCj_Plamm36w8kSyXc34BY1xS2B4O2la_kTuGmFZete3v9dDQA7NsEe9rRhcskYVvMqIKwgDxF55do-egAQxtoSvJQ_C2XddAn1r7ZTRutKZxvGlUsvFuKBUIWLgj48ar3b0dOrIYWJwfQ7et2exdxbR9JXDq7Y2sF2av6mGi_litqTvUJsqwSWgJjCUOHDkwp0mr2eejrrt9yE86FELZuZoVHs0NZaxqj0NCJfH2Sho0T27IDVOlWvPuEHALX-r7-rWrfZCN_yoSfuzXgMhWGjXy41_rdyONxXLQcMaBzpUZbll6Fu82aP2avLzevf_ZZ5QV2X4_u4q6-3tVOpnAsCtkOOb-peFLA9tLZQQzJADqdXtuzclEvVauzt_jj6oneHLgWcwsxe2JY2GzWtJNFkbnVgXWjJDbj1_3zttyTS7-rwewnisni2-ADG4q0z3rEBOukLsGu6u0u7vMYH9fRI6pyp0DKKgK5-3o7CbZISLf58KKxCV8ZUEY3VlXSQ=w900-h506-no
ผมอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย? (ขอบคุณภาพจาก www.akexorcist.com)

ผมหยุดพักนั่งลงริมฟุตบาทที่สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้สูงกับแสงสีอำพันจากหลอดไฟถนนที่กระพริบติดๆ ดับๆ บนยอดเสาสูงชะลูดตัดกับแสงสีเหลืองนวลของพระจันทร์คืนวันเพ็ญ ผมไม่คุ้นกับถนนเส้นนี้เลยสักนิดเพราะชีวิตของผมตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ก็เดินเล่นอยู่แค่แถวๆ บ้านกับไปวิ่งที่สวนสาธารณะริมทะเลสาบในหมู่บ้านกับแซมแค่นั้น แล้วนี่มันที่ไหนกันล่ะ? ผมเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างจับใจ

เวลาตีสามยามค่ำคืนที่ฤดูหนาวเริ่มตื่นพัดพาเอาไอเย็นของความกดอากาศสูงจากประเทศจีนมากระทบผิวกาย มันช่างหนาวยะเยือกสั่นสะท้านซ่านซัดเข้าไปสู่ขั้วหัวใจที่ตอนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยความกลัวในยามที่หลงทางอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายแบบนี้ ผมล้มตัวลงนอนขดตัวกลมเป็นลูกบอลชายหาดด้วยความเหนื่อยบนพื้นแข็งกระด้างเย็นเฉียบของเก้าอี้เหล็กสีเขียวเข้มมีตราสัญลักษณ์หัวช้างสีทองที่วางอยู่ใกล้ๆ แม้ตาทั้งคู่จะหลับแต่หูตั้งๆ ของผมก็ยังกระดิกดุ๊กดิ๊กเพื่อเปิดรับฟังเสียงที่ผิดปกติของสภาพแวดล้อมโดยรอบอยู่ตลอดเวลา ส่วนในใจก็ยังคิดถึงเพื่อนรักอย่างแซมว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้?

7UoBaYPhg8Z3wOyStCupQiLfnLzoJmf17URsidGYZMpp7NQZviF9cLUhUEp47jqgHIlmqwLTgKBwKLd_hf2lfrsi0M47qlNmVDiJbo44xrRlKGI0yvEHW-k4C90_j8clpBgdDxNoK7G3yRGP1sN_ji5iY0EZZJdQLjju0XCIbcrcf2Aaf7s6S8FBZsZ86FtoPOsYuwMogCLuctdPnzemOBylVtyJeY5jjKmWCyS6r4GIJEvTP_DezVNOv59QxcLiz7dKT5RTOSwPQhN8qQdC21aS4mhfBYn0eA0WrpK_g9Crts558UCgbLcRfEiVNlxleQMk9atj7MTm8U7qlr3yWGgOnJa_cEHFijbuhBqtViVGvdU0ZIdpB3gL_Q-zJDeflieAmJLyfV56yvqk9bfrdF3w86YzU-4ST6c4n1-GRBNz9CsAPwfu4SUz4NRpStDJDa-ksPy4iVKC3n496BsRCcZRPV4jwa1xH34fU1mBgxVWAU-_76LZ0eQOahKfnQnzE-RvSIVER98lnNVhXakjfRlLAuClDRvXl-_IgCK6138=w900-h600-no
ขอบคุณภาพจาก bbinkoko.blogspot.com

แสงแดดอุ่นของดวงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ที่ทอแสงเป็นลำสวยงามผ่านก้อนเมฆรูปทรงแปลกตา ช่วยเพิ่มอุณหภูมิของอากาศโดยรอบให้สูงขึ้นเป็นลำดับ มันช่วยบรรเทาอาการหนาวเหน็บที่กรีดแทรกเข้าไปถึงแกนกระดูกของค่ำคืนอันโหดร้ายให้ทุเลาเบาบางลงได้เป็นอย่างดี ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เพราะได้ยินเสียงไม้กวาดทางมะพร้าวด้ามไม่ไผ่อันยาวของคนกวาดถนนกำลังกวัดแกว่งไปมาดังแกรกๆ อย่างขะมักเขม้นอยู่ริมถนนที่แทบจะไม่มีรถสักคัน

พลันหูดีๆ ของผมก็สะดุดเข้ากับเสียงเร่งเครื่องยนต์ดังหวือๆ ของรถกระบะสีเทาซีดเก่าคร่ำติดโครงเหล็กสูงที่ด้านหลังมีผ้าใบคลุมปิดไว้อย่างมิดชิดราวกับเป็นกรงขังอะไรสักอย่าง รวมเข้ากับเสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดเศร้าเหงาของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ที่ดังแว่วลอยมาไกลๆ แบบที่หาต้นกำเนิดเสียงไม่ได้ มันเสียดแทงเข้าสู่โสตประสาทของผมจนต้องขยับตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะสำเหนียกได้ว่าภัยร้ายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ในทุกขณะ

รถกระบะรีบจอดสนิทชิดริมทางอย่างรวดเร็ว ชายฉกรรจ์ตัวใหญ่อย่างกับยักษ์ปักหลั่นสองคนเดินลงมาจากรถ ย่างสามขุมตรงรี่เข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว ด้วยความกลัวผมรีบวิ่งอย่างลนลานไปหาคนกวาดถนนเพื่อหวังจะขอความช่วยเหลือ แต่อนิจจาเธอไม่มีแม้แต่เหลือบมองด้วยหางตาที่จะหันมาหาผมที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเลยสักนิด ผมหันหลังกลับเตรียมจะวิ่งหนีแต่ก็ช้ากว่าสองคนนั่นที่เข้ามาล้อมหน้าล้อมหลังผมเสียแล้ว เชือกมะนิลาเส้นเท่านิ้วก้อยผู้ใหญ่ถูกเหวี่ยงอย่างชำนาญมาคล้องคอผมอย่างพอดิบพอดี ผมดิ้นสุดชีวิตปากกัดตีนถีบเหวี่ยงแขนเหวี่ยงขาไม่หยุดเพื่อหวังจะให้หลุดพ้นจากบ่วงนรกที่พันธนาการอยู่ แต่ดูเหมือนยิ่งดิ้นเชือกก็ยิ่งรัดคอผมแน่นมากยิ่งขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก สุดท้ายผมก็ต้านพละกำลังจากร่างกายอันกำยำของมนุษย์ใจโฉดสองคนนั่นไม่ไหว ผมถูกลากถูลู่ถูกังจากริมถนน จับเหวี่ยงโยนเข้าไปในกรงขังหลังรถกระบะในสภาพสะบักสะบอม ถึงได้รู้ว่าเสียงครวญครางงี๊ดๆ ที่ได้ยินในตอนแรกมันดังมาจากหลังรถกระบะคันนี้นี่เอง

เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ทั้งสายพันธุ์เดียวกับผมและต่างสายพันธุ์ทั้งหมดถูกรวบรวมมาจากหลายจังหวัดด้วยการรับซื้อบ้าง เอาของมาแลกบ้างหรือไปจับมาจากข้างถนนอย่างผมก็มีเยอะ ในกรงนรกใต้ผ้าใบนั่นมีพวกเราอยู่รวมกันนับร้อยๆ ชีวิต เบียดเสียดแออัดกันจนตายไปบ้างก็แยะ อดๆ อยากๆ ไม่ได้กินน้ำกินอาหารหรือกินอะไรทั้งสิ้นตลอดการเดินทางหลายวันที่รถคันนั้นวิ่งโดยไม่มีหยุดพัก

3WHDNKI2qjhbBml99y33akulJsSoNFJ_5Qf_KLXth0zGXpad9TRUtEAH5fsa3dpxHCfWkQH2l7_ukrm4HicZdN0F9F_UsT-1q3FJ07eQmLUijBv5QDzs17ZpMbapI-yIJLyQjpRZPr_vqvYaZv8qaSNNcWpGaICEZlYJzfbYWJH8MXQZ2Gk_XwedtlHM6F-BsnYWwQ-hBXtWP4cGoon_R3orhEDzL7htOjLNGx90kBa3uTglIx2HKXI6Ig9jYlB0k83kJkDZQ18-rGJXp9h9gjjwuSMTfcBv3JYR9hNZhsopRVk5-MSE5C4_gWLeQcLAR5ZiCQAqSRre6D8v8rgZknR1XUSpAb_J_uIaFhjVT9bRAngwoeIkupuWKQMYVoJouXizR06C-UrxK73cFTmazLe3FVGijHMOObTxcDIHLLYcybD4aDTXgtrl2S_Gfm-aeRMQHXUXMdGjo4kHu12QOW0yntR08r_jREzKfMLtXpBUT3gEFi5QTgZj7o7k9tzr19LapxHDOiCAbP0hGCCpJMn_7pdA0FX6ckK4sPZicSs=w900-h506-no
และนี่ก็คือป้าดอลลาร์ (ขอบคุณภาพจาก market.108dog.com)

หญิงชราที่ถูกขังอยู่ข้างๆ ผมกำลังนอนหายใจรวยรินใกล้จะสิ้นลมเพราะทนกับสภาพอันโหดร้ายทารุณเช่นนี้ไม่ไหว เธอเล่าให้ผมฟังว่าเธอชื่อดอลลาร์อยู่กับเจ้านายในบ้านหลังใหญ่มาร่วมสิบปีแล้ว เธอตกใจกลัวเสียงประทัดยักษ์ของเด็กซนๆ ข้างบ้านเลยวิ่งเตลิดหนีออกมาริมถนนใหญ่ เดินสะเปะสะปะเงอะงะหิวโซอยู่สองวันก็ถูกจับมาและเธอก็อยู่ในนี้มาอาทิตย์กว่าแล้ว เจ้านายเธอคงกำลังตามหาเธออยู่แน่ๆ เธอคิดถึงเจ้านายสองคนและลูกสาวของเขาที่รักและทะนุถนอมเธอราวกับเป็นลูกอีกคนหนึ่ง คิดถึงไออุ่นจากมืออันอ่อนละมุนที่ลูบหัวเธออย่างเอ็นดู คิดถึงเด็กสาวตัวเล็กน่ารักที่นั่งเล่นอยู่คนเดียวโดยมีเธอคอยเป็นเพื่อนเป็นพี่เลี้ยงอยู่ใกล้ๆ คลอเคลียเล่นกับเธอราวกับเป็นพี่น้องกัน ปลอกคอสีม่วงอันเล็กมีลายรูปหัวใจที่เด็กน้อยบรรจงสวมให้เธอเพื่อเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความรักที่ครอบครัวนี้มีต่อเธอ น้ำตาใสๆ เริ่มไหลรินเอ่อล้นออกมาจากดวงตาที่เกรอะกรังไปด้วยขนที่พันกันจนยุ่งเหยิงคู่นั้น เพราะเธอรู้ตัวดีว่าคงไม่มีโอกาสมีชีวิตกลับไปร่ำลาเจ้านายในวันที่เธอจะสิ้นลมเสียแล้ว

WrDQbjiQ0CH11cy917dUFFsSNKbk_boaj9gLLTzChn1uki7wwsUr8Y2ZJRb4TKEtdK46kxCF7UacMaXR5eWOdMlzUPAWC64j8DTdf9AZeW-lU3HcDIakPtLbxrW1itXqMyRuErS8kB37thAIyqjgQJ_Wzx6Eczw3rCN6osGchUNxRm532K1sIWeM8lbT277Ra0eLScmKLVZ0IOV4xARu9v2h6FDWmCD-hBo43fuIiA2_JYpylW8iig0ooDc94Pw9j1VGK-d6vXzbhTFtMqP1LBKd7w7QNW7JiepVTjfTj-gpM8TEEtHH305jJJEuct12bqCM872rU5r8eBOAorVVm-hAvj_itd2PEQEHWEthM1LI2n6uaZ4zYY4pyS6--I3UcSwM3X8Fy3-K0HNRgyPIb93HoqmFbOL3qAcaeYDCmY9_YskPFXE0bBbZ0xrmeBxhLH2BcX2cWTlVjydI32MmL2_gqX4Tc-0fZstcdh3RXOhLu0wdSBWicC0fR8bETHywwqcplj4DSzXa1_eHATVD2w64AUJL3__cL8v6PMC9vpk=w900-h675-no
ป้าดอลลาร์เธอสิ้นใจในกรงแบบนี้แหละครับ (ขอบคุณภาพจาก ewt.prd.go.th)

พอเล่าจบร่างของเธอก็กระตุกสอง-สามทีแล้วก็หมดลมไปต่อหน้าต่อตา ทำเอาผมนอนนิ่งตัวเกร็งเพราะอีกไม่นานผมเองก็คงมีชะตากรรมที่ไม่ต่างจากป้าดอลลาร์สักเท่าไรนัก ได้แต่หวังลึกๆ ให้มีปาฏิหารย์มาปลดปล่อยพวกเราที่เหลืออยู่ได้หลุดพ้นจากขุมนรกนี้ไปโดยเร็วเสียทีเถิด และทันใดนั้นหูตั้งๆ ของผมก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ของรถกระบะคันที่เราถูกขังอยู่กำลังถูกเร่งรอบขึ้นดังสนั่นพร้อมกับความเร็วของรถที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนรู้สึกได้ อาการโคลงเคลงของตัวรถที่สูงจากพื้นถนนมากนั้น เหวี่ยงไปมาจนทำให้พวกเรากระเด็นกระดอนอยู่ในกรงหลังรถราวกับถูกโยนเข้าไปในเครื่องซักผ้าแล้วกดปุ่มปั่นแห้งพลังสูง จากที่เคยอยู่กันอย่างแออัดยัดเยียดอยู่แล้วก็ยิ่งถูกกดถูกอัดกันเข้าไปอีกจนได้แผลเหวอะจากการถูกลวดกรงขังบาดแข้งขาหน้าหัวกันไปคนละหลายแผล สักพักเสียงสัญญาณไซเรนดังหวอๆๆๆ จากรถที่ขับตามมาในระยะกระชั้นชิดก็ดังขึ้นแว่วๆ มันเป็นดังเสียงสวรรค์ที่ประทานมาจากพระเจ้า มันช่างเป็นเสียงที่ไพเราะที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยิน แม้มันจะดังจนแสบแก้วหูแต่ผมก็ยินดีที่จะฟัง พวกเราต่างพร้อมใจกันส่งเสียงขอความช่วยเหลือเท่าที่กำลังที่เหลือจะพอทำได้ เพราะมันเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะได้รอดชีวิตกลับไปหาบ้านแสนสุขอีกครั้ง

vmnuI4qyVa81IJCGAeCm6U4dDjM238KcyhRR6yqzGgmIKQuGP8B0zO8Zc48QNmDLiVeTUcrpVtxjcFCbcDKu_OIKrY6mTTK-FGsIoROrYpTi5FupHXq9Hdnms9BC9sCAUEqGb-28oQKrV4gegsqnaQkMTW98KwRy8keAsIHT6QBM6M8o4e3Dtd1iDQhHqZq4KzCt33wyiY8sUgTuFxtBI0rbVDOcm7k7owyszXftzvPPMqE8cFNB3NaqK3IjkmyzwJ78ySsjUmNJaDP6CmuaHF4zi_m0xutwQy8HKhJy5MTAVMuInHFGucuA4t5QxWRNFJi-ZSzOCy2EUFHpVGmvDlHw74nJoolX8EdhrYQDnd0WyolrPmWsU4m5fquY_WBMoedRlC7EcpglXUnyeS0X1vDkuYzgYBS1yF0MXgntb8PBTxfdVnJRiwVluXM5OtwBnsa3GTDouaKnaPhLfLYAgZvfv8WcOI1F2r0KaS5D2hLcXGMapgmoqAgEP9cKqnvP1hos5QkitLS_ZInHLE4nrzHz3cLvzqP6d03XEag68bw=w900-h675-no
สุดท้ายโจรใจร้ายก็ถูกจับได้ .. พวกเรารอดแล้ว (ขอบคุณภาพจาก www.acnews.net)

แก๊งค์ค้าสุนัขข้ามชาติจากประเทศเพื่อนบ้านถูกจับโดยหน่วย นรข. สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทหาร โดยรถกระบะคันดังกล่าวถูกจับได้บนเส้นทางที่กำลังมุ่งหน้าสู่ด่านชายแดนไทย-ลาว กลายเป็นข่าวใหญ่โตออกทีวีอยู่หลายวันเพราะมีการขยายผลจับกุมคนไทยที่เป็นผู้ร่วมขบวนการอีกหลายคน ผมโชคดีที่เจ้านายออกติดตามตั้งแต่วันแรกที่ผมหายตัวไป พอเห็นข่าวในทีวีก็เลยรีบเดินทางมารับตัวผมกลับบ้านในวันถัดมาทันที ส่วนป้าดอลลาร์เธอไม่ได้โชคดีแบบผม ร่างเธอถูกทำลายไปพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของผองเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์อีกนับร้อยอย่างน่าสลดใจ ไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่เจ้าของเธอจะได้เก็บปลอกคอสีม่วงอันนั้นเอาไว้เป็นที่ระลึกเสียด้วยซ้ำ

jNOcrL8GBnJUAVv_PiAckvJZbPEpUKVXpD1C4mxlw-mQh1z0a2rR5ZYRkQ1b09QrF0sPWWMBUGrYVg0QKnDNWJH-A8tViZ8FJshd5YNT8atA14EAhqayfo5EY7qtFijgO8Hiq3F38Xx95wGE2PHQjHj5cGa9EdgDabA158_JUm6N_0iVmzq2EAgCteOSgCY9WF7Sq3iaOXeig58JIAnWeJBSOP0aLBSQLAC1FQ5BV_xsrU75CkGIu21G4fd-TSNb8zaPHWaFypWmtmpo6OmdIPb-EAi1MNPMlhVClQBB02MhKhYTuT4Pz92qxeCid9IEeqbSuZhW7UIeAWzwICdFq_MOxemclrdzn1hravgThuGcDNz7M24sHclef7uIsg4-CJ61MY6i4sOiqQiMzJn6Xud13hbUe5MfJwhAlZcV_9cHbanRhBqrVlUWGmBZ0ZBi9QGJtGb_ZI0VedXddChL2X_MYRKGOFt2j5uCLX4ebYNCXOjxNn0jKAKMz-JLQwOOLBCNKY4lnko16xFiQv3SOExyGWWDeSCLTrHpmB3oRsg=w900-h533-no 0tW7Q3eJK0UjeCcUqcy4B-qSBNk6en5I2RWyLuynCbtzBrbcc6_vndvFFqxG0GDZEiVcGoRqLX4-J-GNLo76x3Xrv9XeXtAlNSgAJUENXgBSEHmQxwTOFpdQ-xQozJfO7kUmx52fSighYK0GpJ9JYObvJsG4J0BvYs67UUh1kjTCCUx-zzmq3WNTAmUN5XX4cTALhhRIImsUX9BLXmwSDATf7H2zRRq4LVnLCjUZhIHIXpa6YhLKcYNfrZC4ffaknzk6plTJvlpU9jHmVpGuZZ3PCLPErEdEmqLqtHdoJXlUuaGERVUfkzn1kQ0q9WWAsPuyB_7CWskZYPyG25dUSqp3gB0w5h0B8gD4UA5VrC5-y-urhXwn9SzCgaIT7zDN6n72YlCxxEolKoBOT4dAnbLm8JWVzlSGeCq6IUGXo5W7MFupvzn8LB2t4uA9mkOJTqjxIsOuJu1yj6IzpZE480yIuq8YVcX2gOpRenGdBYxkqS3iMW4zXECtA6xrTvCNyaZiunWlxVv8_0e-dQ3rM-L40ndiSbk06zJ9hnIJDT0=w900-h555-no
บ้านแสนสุขกับสวนสวยริมทะเลสาบ (ขอบคุณภาพจาก terrabkk.com และ www.thaisabai.org)

PJVXFVY-ZdWQLRdvgcnEz9A-VxGyihiuwaLivnjBA2xnXYMuTN7Stn8uQJG6hqzZ8N-yXM5zEQhQBwPzmmrOQWivp7LXIHwkm1jnFwE3zmvHtPVyN1cWk7nAhIk7F0yMEctq39jfLSuE3F6rQqQASxKJQKCKb0KJInXdIEKsasIi3POIL8yi-SXddiafMPHmDbYaD3tf9fjDGSrWFVGdYwdjMBPsLW0rYUVnBOE0nhm7fZgJDz_utoKjnQMYtUNjSvYVh_xWaJ5ApYlvWffU0YHjxtODAJr8x5WmJxwiCJHQundtjx9z08zrVenC16MK7lqgj0R0atadeC5av5jYoG23omApNSB3He2n6anoKTGolbYt93wgf4dNpQupmTxVov8LQzKAOyzdxO8hXp5xNRCNADo4OszMK_Zec8QjBHrC_ngOHVBhNWvEDEr0U8RN5ULr-QQYP47pQb1Ykvdl53ctDfeC6G5F0FJWRec7k5fRui-hC510NrXhYswH2xlYfliHcRHC12K9QsXerIOESnbmy7k0ZIDUXDn8S93y2Mw=w900-h600-noและนี่ก็คือตัวผมเองครับ .. (ภาพโดย นายเมษา)

และตั้งแต่พ้นเคราะห์กรรมได้กลับมาอยู่บ้านแสนสุขอีกครั้ง ผมยังจดจำคืนวันดีๆ ที่ไปวิ่งเล่นออกกำลังริมทะเลสาบในหมู่บ้านกับแซมได้ดี แม้กระทั่งวันลอยกระทงของปีนี้ที่ผมไม่นึกว่าจะเป็นการได้เจอแซมเป็นครั้งสุดท้าย เพราะหลังจากวันนั้นก็ไม่มีใครได้ข่าวจากแซมอีกเลย จนกระทั่งตอนนี้ผมก็ยังคงนอนรออยู่ริมรั้วหน้าบ้านทุกวันโดยหวังว่า อาจจะมีสักวันที่ผมจะได้ยินเสียงเรียกอันคุ้นเคยของ “แซม” เพื่อนรักของผมอีกครั้ง ..

 

บอกกล่าวกันก่อน ภาพและบุคคลในภาพทั้งหมดเป็นเพียงส่วนประกอบเพื่อเสริมความสมจริงของเรื่องเท่านั้น มิได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเนื่อเรื่องทั้งสิ้น

 

- - - - -   นายเมษา  - - - - -

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ.2558 เวลา 16:39 น. GMT+7 TH

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

เสียงลึกลับ .. จากในครัว ..


ภาพจาก http://www.mut.ac.th/art_forlife

หากลองย้อนเวลากลับไปราวๆ สักสี่สิบปีก่อน ในสมัยที่เมืองไทยยังไม่มีตึกสูงระฟ้าท้าดวงอาทิตย์เหมือนสมัยนี้ รถราหรือก็ยังไม่ได้ขวักไขว่ ชิวิตของคนไทยในต่างจังหวัดกับคนเมืองยังคงใกล้ชิดกันทางวัฒนธรรมอยู่มาก ผู้เฒ่าผู้แก่ในตอนนั้นก็ยังคงนิยมกินหมากกันอยู่ ดังนั้นปูนแดง หมากและใบพลูจึงเป็นสินค้าที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มีเท่าไหร่ก็ขายหมดเกลี้ยง ทั้งยังสามารถหาซื้อกันได้ทั่วไปทั้งในตลาด ทั้งร้านโชห่วยที่ตั้งอยู่แทบทุกหัวระแหง ซื้อง่ายขายคล่องราวกับซิมทรูมูฟในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นในสมัยนี้เลยทีเดียว

สมัยนั้นผมยังเป็นเด็กอายุยังไม่ถึงห้าขวบด้วยซ้ำ แต่ต้องระหกระเหินย้ายที่เรียนตามพ่อที่รับราชการไปอยู่ตามจังหวัดต่างๆ ทั่วทุกภาคของประเทศ ครั้นพอถึงปิดเทอมทีนึงพ่อผมก็จะส่งตัวผมและพี่น้องมาอยู่โยงในบ้านสวนของย่าที่อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี จะว่าไปมันก็คล้ายๆ กับได้ไปเรียนซัมเมอร์ในต่างประเทศเลยเชียวล่ะ เพราะนั่นหมายถึงว่าต้องรู้จักปรับตัวให้เข้ากับชีวิตแบบชาวสวน เอาตัวเองให้อยู่รอดให้ได้ แต่ยังดีกว่าหน่อยตรงโฮสที่ผมไปอยู่ด้วยนั้นคือญาติผู้ใหญ่ของผมนั่นเอง

บรรยากาศแบบบ้านสวนริมคลองที่สมัยนั้นน้ำในคลองดำเนินสะดวกและคลองซอยต่างๆ ที่ผ่านหน้าบ้านย่ายังใสแจ๋ว สามารถตักมาอาบมาล้างจานชามกันได้อย่างไม่ต้องเคอะเขิน อีกทั้งผมทั้งปลาใหญ่น้อยก็ยังดำผุดดำว่ายดีดน้ำใส่หน้ากันพรึ่บพรั่บอย่างสบายอุรา สมัยผมหัดว่ายน้ำใหม่ๆ ก๋งของผมเอามะพร้าวแห้งสองลูกมาเฉาะเปลือกออกให้เป็นเส้นหนาสักนิ้วนึง โดยที่อีกด้านยังติดอยู่ที่ลูก แล้วเอาเปลือกที่ฉีกออกนั้นมาผูกเข้าด้วยกัน แล้วจับเอาสอดไว้ใต้รักแร้ทั้งสองข้างของผมเพราะมันจะช่วยพยุงตัวเราไม่ให้จมน้ำได้เป็นอย่างดี จากนั้นก็ผลักให้ผมออกไปลอยตุ๊บป่องอยู่กลางคลองหน้าบ้าน ส่วนผมก็ตะเกียกตะกายเลิ่กลั่กทั้งมือทั้งเท้าช่วยกันพุ้ยน้ำจ๋อมแจ๋ม แม้ไม่ได้มีท่าฟรีสไตล์ กบหรือผีเสื้อตามมาตรฐานโอลิมปิคสากลใดๆ แต่มันก็ทำให้ผมว่ายน้ำได้มาจนทุกวันนี้นั่นแหละ

 
ขอบคุณภาพจาก http://i139.photobucket.com/albums/q308/Mucki_girl // http://www.bloggang.com/data/klongrongmoo

ที่ท่าน้ำเล็กๆ หน้าบ้านจะเป็นบันไดลงไปในคลอง มีแผ่นไม้เล็กๆ สี่-ห้าแผ่นขนาดกว้างยาวประมาณเมตรเศษๆ ให้พอนั่งอาบน้ำล้างจานได้ ตลิ่งสูงท่วมหัวเป็นดินโคลนที่ก๋งผมโกยขึ้นมาจากในคลอง และตลอดแนวตลิ่งหน้าบ้านก็จะปลูกต้นมะม่วงอกร่องเอาไว้กินไว้ขายกันไปตามประสาชาวสวน ซึ่งช่วงซัมเมอร์คอร์สของผมทุกปีก็จะมีมะม่วงให้กินกันทุกวันไม่เคยขาดเพราะมีอยู่เป็นสิบต้น และแต่ละต้นก็ติดลูกดกจนกิ่งโน้มลู่ลงมาจนเรี่ยพื้นให้เก็บกินได้ง่ายๆ ไม่ต้องปีนขึ้นไปให้เสียแรง บางทีก็สุกคาต้นจนหล่นลงมาก็มีบ่อยๆ ทั้งกินทั้งแจกกันจนเอียนแล้วก็ยังเหลือขายได้อีกเป็นร้อยๆ กิโล


ขอบคุณภาพจาก https://kerk1234.files.wordpress.com 

ตามแนวตลิ่งนั่นก็จะเป็นทางเดินผ่านเข้าไปยังบ้านของเพื่อนบ้านที่อยู่ในสวนถัดๆ เข้าไป ใครเดินผ่านไปผ่านมาถ้าอยากได้มะม่วงไปกินกันก็ตะโกนบอกแล้วชอบลูกไหนก็เด็ดไปได้เลย แบ่งปันเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันไปตามวิถีใครมีอะไรก็เอามาปันไปกันกิน สวนไหนจะปลูกอะไรก็ไปลงแรงช่วยกันมันคือภาพความผูกพันอันสวยงามของคนในชุมชนที่ยังชัดเจนในความทรงจำจนถึงทุกวันนี้

ส่วนที่ใกล้ท่าน้ำติดกับทางเดินขึ้นบ้าน ย่าผมก็จะมีพลูที่ปลูกเอาไว้กินเองอยู่สองข้างทาง ลักษณะเป็นกองดินทรงสูงยอดมนมีเสาไม้ขนาดขาผู้ใหญ่สูงราวสอง-สามเมตรอยู่ตรงกลาง รอบๆ ก็จะมีไม้ไผ่ลำย่อมๆ ปักไว้แล้วเอาปลายยอดไปผูกไว้กับเสาไม้ตรงกลางอีกทีเพื่อให้พลูที่ปลูกเลื้อยพันขึ้นไป แต่จะมีลำนึงที่เจาะเป็นรูเล็กๆ ที่ปล้องแล้วเอาไม้ไผ่ผ่าครึ่งเป็นซีกอันสั้นมาเสียบทะลุไว้เพื่อใช้ทำเป็นบันไดเวลาปีนขึ้นไปเก็บพลู และจากบนตลิ่งที่สูงจากพื้นดินระดับอกของผู้ใหญ่กับความสูงของค้างพลูอีกร่วมสามเมตร รวมแล้วจากพื้นดินถึงยอดก็น่าจะเกือบจะห้าเมตรได้ละมั๊ง


ขอบคุณภาพจาก http://img802.imageshack.us 

พลูกำลังออกใบเขียวสะพรั่งทึบไปทั้งค้างพลูเก็บกินเก็บเคี้ยวกันจนปากเจ่อก็ยังไม่มีทีท่าจะหมดง่ายๆ ก็เกิดไปเตะตาต้องใจไอ่ตี๋น้อยที่คนแถวนั้นรู้จักกันดีในชื่อว่า "ไช้" หลานแป๊ะฮ้วงเจ้าของสวนผักที่อยู่ท้ายคลองเดียวกับบ้านย่าของผม เฮียไช้เป็นลูกหลานชาวจีนโพ้นทะเลรุ่นที่สาม นั่นก็คือรุ่นเดียวกับผม แต่เฮียไช้จะอายุมากกว่าผมหลายปีเพราะตอนที่ผมอายุห้าขวบเฮียเต็กก็เป็นวัยรุ่นตอนปลายแล้ว แป๊ะฮ้วงอาก๋งของเฮียไช้มารับจ้างเป็นกุลีขุดคลองรุ่นเดียวกับก๋งของผม และเมื่อคลองถูกขุดจนเสร็จเรียบร้อยชาวจีนเหล่านั้นต่างก็พากันเข้าจับจองพื้นที่ทำมาหากินจนทั่วทั้งย่านดำเนินสะดวก ปลูกผักปลูกหญ้าค้าขายผลหมากรากไม้กันไปตามความถนัดของแต่ละคนที่สั่งสมกันมาตั้งแต่ครั้งยังอยู่ที่เมืองจีน

กลับมาว่ากันถึงเฮียไช้พระเอกของเรื่องนี้กันต่อดีกว่า

เฮียไช้เห็นพลูของย่าผมที่ปลูกเรียงรายกันเป็นแถวตามสองข้างทางเข้าบ้านร่วมๆ สิบค้างกำลังออกใบอย่างงาม เฮียแกเลยมาเจรจากับย่าผมว่าจะขออาสามาเก็บไปขายให้แล้วเอากำไรมาแบ่งกัน ซึ่งย่าผมก็ไม่ได้ว่ากระะไรเพราะก็ปล่อยเอาไว้ก็กินไม่หมดอยู่แล้ว ดีซะอีกที่มีคนมาช่วยเก็บให้ไม่ต้องออกแรงปีนให้เมื่อย ดีไม่ดีพลาดพลั้งร่วงลงมาหัวร้างข้างแตกแข้งขาพิกลพิการไปเสียเปล่าๆ แถมยังได้อัฐเล็กๆ น้อยๆ ไว้แลกกับข้าวกับปลาไว้กินอีกด้วย


ขอบคุณภาพจาก http://board.postjung.com 

โดยเฮียไช้แกจะเข้ามาเก็บพลูในช่วงเย็นๆ หลังจากเสร็จงานประจำของแกที่สวนของแป๊ะฮ้วงเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็จะเอาไปล้างแล้วเรียงซ้อนกันเป็นกองเล็กๆ ราวสักยี่สิบใบ เอามารัดด้วยเปลือกต้นกล้วยที่ลอกออกมาแล้วตัดให้ได้ขนาดชิ้นกว้างสักครึ่งฝ่ามือผู้ใหญ่ จากนั้นมัดด้วยเชือกกล้วยให้เป็นพับเล็กๆ อีกที กว่าจะเสร็จงานเสริมของแกในแต่ละวันก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มโน้น ส่วนย่าผมก็ทำกับข้าวกับปลาไว้เผื่อเฮียแกทุกวัน แล้วก็ตะโกนบอกให้เฮียแกเข้ามากินข้าวแล้วค่อยกลับบ้านนะ จนเป็นที่รู้กันว่าสี่ทุ่มเฮียไช้จะต้องเข้ามากินข้าวในครัวหลังบ้านเสียงจานเสียงช้อนสังกะสีกระทบชามตราไก่ดังโคล้งเคล้งสนั่นลั่นท้องร่องกันทุกวันไป

บางทีผมก็อาศัยออกมานั่งกินกับเฮียแกอีกมื้อเป็นมื้อดึกของวันนั้นก็เลยค่อนข้างสนิทกันอยู่มากพอดู เวลาเฮียแกมาเก็บพลูก็มักจะมีขนุกขนมของกินเล่นมาฝากผมอยู่เสมอๆ ด้วยความที่เฮียไช้แกเป็นคนขยัน ซื่อสัตย์ อดทนและที่สำคัญอัธยาศัยไมตรีดีมากช่างพูดช่างคุยเป็นที่หนึ่ง อีกทั้งแป๊ะฮ้วงก็สนิทสนมกับก๋งของผมเป็นอย่างดี เฮียแกจึงเป็นที่รักและไว้ใจของก๋งกับย่าผมอย่างมาก เวลามีเค้างานบุญกันที่หน้าวัดโชติฯ ทีไร ผมก็ได้เฮียไช้นี่แหละที่พาเดินเลียบเลาะริมคลองไปเที่ยวจนดึกจนดื่นโดยที่ก๋งกับย่าผมไม่มีปริปากบ่นเลยสักคำ นี่คงเป็นการยืนยันถึงความไว้วางใจของผู้ใหญ่ที่มีต่อเฮียไช้ได้เป็นอย่างดี


ขอบคุณภาพจาก http://goratchaburi.com 

แต่ก็อย่างที่ใครๆ เคยว่าเอาไว้นั่นแหละว่าวันเวลาแห่งความสุขมักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน และช่วงเวลาแห่งความสุขสนุกสนานของผมกับเฮียไช้ก็เช่นกัน

ไม่รู้ว่าเคราะห์กรรมแต่ชาติปางไหนที่กลับมาทวงถามตามคร่าเอาชีวิตที่กำลังดีวันดีคืนของเฮียไช้ให้ต้องดับดิ้นสิ้นใจ เพราะเฮียแกปีนพลาดร่วงหล่นลงมาจากค้างพลูที่สูงร่วมห้าเมตรคอหักตายในช่วงโพล้เพล้ใกล้จะหมดแสงของเย็นวันหนึ่ง จนเป็นที่ตกอกตกใจของคนละแวกนั้นเป็นอย่างมากเพราะการตกจากค้างพลูแค่นั้นไม่น่าจะถึงกับต้องตาย อย่างมากก็น่าจะแค่แข็งขาหัก หลังเดาะกระเพาะยุบ ตับบุบไตบวม หยุดงานนอนพักหยอดน้ำข้าวต้มสักร่วมๆ อาทิตย์ก็น่ากลับมาฟิตเปรี๊ยะวิ่งปร๋อได้เหมือนเดิมแล้ว แต่นี่ถึงกับคอหักตาย สงสัยว่าดวงเฮียแกจะถึงฆาตจริงๆ และการตายแบบนี้แถวบ้านนอกของผมเค้าเรียกกันว่า “ตายโหง” คือยังไม่ถึงเวลาตายแต่ต้องมาตายเสียก่อนที่จะหมดอายุขัย

ผมเองก็ได้ไปร่วมในงานศพของเฮียแกทุกวันตามประสาครอบครัวคนคุ้นเคย ก็ได้ยินคนเฒ่าคนแก่เค้าจับกลุ่มคุยกันว่าวิญญาณตายโหงแบบนี้มักจะเฮี้ยนและดุมากเพราะต้องร่อนเร่พเนจรไปทั่วจะไปเกิดก็ไม่ได้ จะอยู่บนโลกมนุษย์ก็ไม่มีกายหยาบให้สิงสถิตย์เพราะร่างถูกเผาจนกลายเป็นเศษฝุ่นผงธุลีไปหมดแล้ว ไอ่ตัวผมยังเป็นเด็กก็เออออห่อหมกตามพวกผู้ใหญ่เค้าไปอย่างงั้นแหละไม่ได้รู้เรื่องอะไรนักหรอก ขอแค่ได้อาศัยไปวิ่งเล่นสนุกกับเด็กๆ แถวนั้นที่มางานกับพวกผู้ใหญ่บ้าง ไปช่วยงานเป็นลูกมือหยิบโน่นจับนี่บ้าง ช่วยเสิร์ฟน้ำ ช่วยล้างจานบ้างไปตามเรื่องก็พอ แต่ที่สำคัญเมนูรอบดึกที่บรรดาเหล่าจุมโพ่(ตัว)ใหญ่ในครัวช่วยกันบรรจงควงตะหลิวแสดงฝีมือทำออกมาแจกแขกเหรื่อที่มาร่วมงานในทุกๆ คืน มันช่างถึงรสถึงเครื่องอร่อยปากละมุนลิ้นอย่าบอกใครทีเดียวเชียวล่ะ


ขอบคุณภาพจาก http://www.oknation.net/blog/kiddee 

งานศพของเฮียไช้ทั้งเจ็ดวันผ่านไปด้วยดีพร้อมๆ กับผมที่อ้วนพีขึ้นจนเห็นได้ชัด ภารกิจฌาปนกิจส่งเฮียแกไปที่ชอบๆ ก็สำเร็จลุล่วง(เพราะถ้าที่ที่เฮียแกไปแล้วแกไม่ชอบ ป่านนี้เฮียแกคงกลับมาแล้วล่ะ ..!!!) ไม่มีเหตุการณ์ระทึกขวัญใดๆ ให้ต้องหวาดผวาอย่างที่คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเคยมาเตือนเอาไว้ อย่างดีก็มีแค่ได้กลิ่นธูปจางๆ ตอนเข้านอนเท่านั้น ซึ่งก็น่าจะมาจากย่าผมไหว้พระตอนก่อนนอนนั่นแหละ

แต่เรื่องราวของซัมเมอร์นั้นมันไม่ได้สงบราบรื่นไปตลอดน่ะสิ ..!!!

เย็นวันหนึ่งหลังจากงานศพของเฮียไช้ผ่านไปได้สักอาทิตย์นึง ค้างพลูกองหนึ่งริมคลองก็มีเสียงใบพลูสั่นไหว ๆ ดังกราวๆ ซู่ๆ ราวกับมีใครรูดตัวลงจากยอดค้างพลูกองนั้น ตามด้วยเสียงออดแอดๆ ของลำไม่ไผ่ที่ต่อเป็นบันไดยุบฮวบขึ้น-ลงเป็นจังหวะคล้ายคนกำลังปีนขึ้นไป แล้วยังมีเสียงเหมือนของหนักๆ ตกกระทบพื้นดังตุ้บ ตุ้บ ผมลองมองฝ่าแสงสลัวๆ ที่เพิ่งจะเริ่มมืดออกไปก็ไม่เห็นมีอะไร ลมอ่อนๆ ที่พัดอยู่ก็ไม่ได้แรงขนาดที่จะทำให้ลำไม้ไผ้ไหวปลิวยวบได้ขนาดนั้นนี่นา บรรยากาศยามนั้นมันช่างอึมครึมเย็นยะเยือกบวกกับแสงทึมๆ ของตะเกียงริบหรี่จากบ้านเจ๊กเพ้งที่อยู่ตรงข้ามอีกฝั่งคลองห่างออกไปจากค้างพลูนั่นราวๆ สิบเมตรก็ไม่ได้ช่วยให้เห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้นสักเท่าไหร่

ผมเริ่มอกสั่นขวัญผวานี่ขนาดยังไม่ทันจะถึงเวลาที่ฟ้ามืดสนิทเสียด้วยซ้ำนะเนี่ย คืนนี้คงไม่ยอมลงไปอาบน้ำที่ท่าน้ำหน้าบ้านแน่ ถึงแม้จะสนิทกับเฮียไช้สักแค่ไหนก็ตาม ก็ขอซักแห้งสักคืนนึงก่อนก็แล้วกัน แต่เอ๊ะ .. หรือว่าเฮียไช้แกจะไม่ชอบที่ที่แกไป .. ถึงได้กลับมาเยี่ยมผมเร็วจังแฮะ ..!!!

ส่วนก๋งกับย่าของผมก็ยังคงออกไปนั่งจัดเตรียมผักผลไม้ที่เก็บมาจากในสวนใส่เรืออยู่ที่ริมตลิ่งตรงท่าน้ำหน้าบ้านเพื่อเอาไว้ไปขายในวันพรุ่งอันเป็นกิจวัตรประจำวันกันตามปรกติ ไม่ได้สะทกสะท้านกับเหตุการณ์แปลกๆ ของค้างพลูเจ้าปัญหาในเย็นย่ำค่ำนี้แต่ประการใด


ขอบคุณภาพจาก http://www.painaidii.com 

ตกดึกตามเวลาดีๆ ที่นัดหมาย เสียงดังโคล้งเคล้งจากในครัวหลังบ้านก็ดังขึ้นตามที่คาด เสียงช้อนกระทบชามดังแกร๊กๆๆ เหมือนที่เคยได้ยินอยู่ทุกวัน ผมถึงกับขวัญกระเจิงนั่งร้องไห้กระซิกๆ กอดย่าไม่ยอมห่าง ไม่ว่าจะปวดท้องหนักท้องเบาสักแค่ไหนก็ต้องอั้นเอาไว้ก่อน ไอ่ครั้นจะไปเข้าห้องน้ำห้องท่าที่อยู่หลังบ้านเวลานี้สารภาพตามตรงว่าไม่กล้าพอจริงๆ เพราะต้องเดินผ่านครัวกลัวจะไปเจอเฮียไช้แกกวักมือเรียกให้ไปนั่งกินข้าวมื้อดึกด้วยกันเหมือนเคย จนย่าต้องออกปากตะโกนไปว่า

“อาไช้เอ๊ย .. กินเสร็จแล้วก็ไปซะนะ น้องๆ มันกลัวกันแย่แล้วเนี่ย ย่ารู้แล้วว่าเอ็งมา ..”

พอย่าตะโกนบอกเฮียไช้ เสียงลักลับในครัวก็ค่อยๆ เบาลงจนเงียบหายไปท่ามกลางความดีใจของเด็กๆ ในบ้านทุกคน และหลังจากค่ำคืนสยองขวัญสั่นประสาทในครั้งนั้นก็ไม่มีเหตุการณ์แปลกๆ อะไรเกิดขึ้นอีกเลย แต่มิวายผมก็ยังระแวงเสียวสันหลัง เย็นวาบๆ ขนลุกซู่ทุกครั้งเวลาที่ลงไปอาบน้ำที่ท่าน้ำใกล้ค้างพลูนั่นอยู่ดี ทั้งที่ก็ไม่เคยได้เห็นหรือได้ยินอะไรจากเฮียไช้อีกเลยก็ตาม

หรือว่าเฮียไช้แกจะเจอที่ที่แกชอบแล้วจริงๆ เลยไม่กลับเคยมาหาผมอีกเลยแม้วันเวลาจะผ่านล่วงเลยมาร่วมสี่สิบปีแล้วก็เถอะ



----- นายเมษา -----
อังคารที่ 8 กันยายน 2558 เวลา 4:09 น. GMT+7 TH

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

5 การจัดแสงแบบง่ายๆ .. กับไฟสตูดิโอดวงเดียว ..

Setup2_Pic1

ไฟสตูดิโอคือหนึ่งในชุดเครื่องมือเอนกประสงค์ที่มีประโยชน์ของช่างภาพเช่นคุณ มันสามารถสร้างแสงที่มีคุณภาพได้ไม่จำกัดเวลา ไม่ต้องรอแสงธรรมชาติและมันก็มีส่วนขยาย, อุปกรณ์ต่อพ่วงและเทคนิคการใช้งานอีกจำนวนมากที่ช่วยให้คุณออกแบบรูปทรงของแสงได้ตามที่ต้องการเพื่อเติมเต็มมุมมองที่สร้างสรรค์ของคุณนั่นเอง อย่างไรก็ตามทางเลือกทั้งหมดนั้นมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้คุณรู้สึกสับสนและตัดสินใจลำบากในการใช้งานพวกมัน จำนวนที่มีอยู่มากมายของเครื่องมือเหล่านั้นมันก็ทำให้คุณเชื่อว่าคุณจำเป็นต้องใช้พวกมันให้ได้ประโยชน์มากกว่าขึ้นกว่าเดิม

แต่ยังเคราะห์ดีนะที่ในกรณีของไฟสตูดิโอมันมีแนวคิดที่เรียกว่า "น้อยคือมาก" ซึ่งในแบบฝึกหัดนี้ผมได้สาธิต 5 แบบของการใช้ไฟสตูดิโอดวงเดียวเพื่อสร้างผลของภาพที่ดีกับตัวแบบหลายๆ อย่าง แม้ว่าแต่ละภาพสร้างจากส่วนขยายที่กำหนดมาแล้ว แต่ว่าการจัดแสงในแบบฝึกหัดนี้นั้นจะสามารถทำงานกับส่วนขยายเกือบทั้งหมดที่คุณเลือกได้ดีเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถเปลี่ยนมาใช้ซอฟท์บ๊อกซ์แทนบิวตี้ดิช มันก็จะให้รูปทรงของแสงที่อ่อนนุ่มกว่าแต่คุณก็จะยังได้ผลลัพธ์ของภาพที่ดีอยู่และบางเทคนิคก็ต้องใช้รีเฟล็กเตอร์สีเงินอีกด้วย

ถ้าคุณไม่มีรีเฟล็กเตอร์ คุณก็สามารถที่จะเอากระดาษการ์ดแผ่นใหญ่ๆ ติดด้วยกระดาษฟลอยด์ หรืออีกทางเลือกหนึ่งก็คือใช้กระจกสะท้อนเสียเลย คุณไม่จำเป็นต้องใช้หัวไฟสตูดิโอหรือไฟแฟลชก็ได้ เพราะแสงจากหน้าต่างก็ให้ผลของภาพได้เหมือนๆ กัน

นี่คือ 5 รูปแบบการจัดแสงไฟสตูดิโอด้วยไฟดวงเดียวที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

การจัดแสงแบบที่ 1

Setup1_Pic1

เทคนิคง่ายๆ คือเป้าหมายของภาพ แหล่งกำเนิดแสงคือหัวไฟสตูดิโอกับซอฟท์บ๊อกซ์ขนาดกลาง จัดวางให้ห่างจากตัวแบบประมาณ 5 ฟุต และยกให้สูงขึ้นไปประมาณ 4 ฟุตแล้วกดลงมา 45 องศา กล้องอยู่ใต้ซอฟท์บ๊อกซ์ตรงๆ (บัตเทอร์ฟลาย ไลท์ติ้ง)

Setup1_Pic2

กึ่งกลางของซอฟท์บ๊อกซ์ให้หันไปที่ด้านซ้ายของตัวแบบ(ทางขวาของกล้อง) ให้แสงที่ออกจากขอบของแหล่งกำเนิดแสงตรงไปตกที่ตัวแบบ ซึ่งเทคนิคนี้เรียกว่า ฟีเธอร์ริ่ง หรือการลดความเข้มของแสง มันมีประโยชน์ในการควบคุมและการปรับแสงในภาพอย่างละเอียด ช่วยสร้างแสงที่อ่อนนุ่มจากส่วนขยายที่ให้แสงแข็งอย่างเช่นจานสะท้อนแสง 110 องศา
ถ้าคุณไม่คิดจะใช้ฟีเธอร์ริ่งเทคนิคในตอนนี้ ก็ลองปรับแหล่งกำเนิดแสงของคุณหันไปที่จมูกของตัวแบบแทนดูก็ได้

การจัดแสงแบบที่ 2

Setup2_Pic1

Setup2_Pic2

เพื่อสร้างแสงแบบดราเมติกในภาพของคุณ ก็ลองให้แสงกับตัวแบบของคุณจากด้านหลังดูสิ ภาพน้องหมาของผมให้แสงไฟจากซอฟท์บ๊อกซ์ที่อยู่ 45 องศาจากด้านหลังและกล้องอยู่ด้านซ้าย ซอฟท์บ๊อกซ์จะอยู่ใกล้ๆ กับตัวแบบมากๆ แค่ให้อยู่นอกเฟรมภาพจากทางด้านซ้ายเท่านั้นก็พอ แต่เพราะน้องหมาเป็นสีดำและขาวจึงสร้างความเปรียบต่างสูงมากในภาพนี้ เงาทางซ้ายของน้องหมาด้านที่อยู่ใกล้กับกล้องจะมืดมากๆ เพื่อจะแก้ปัญหานี้ คุณควรจะต้องใช้แผ่นสะท้อนแสงมาช่วย แค่ให้มันอยู่นอกกรอบภาพทางด้านขวาก็พอและการนำมันเข้ามาใกล้ๆ จะช่วยให้คุณสร้างแสงสะท้อนเพื่อเติมแสงในเงามืดได้เป็นอย่างดี

การจัดแสงแบบที่ 3

Setup3_Pic1

นำเอาเทคนิคที่ผ่านมาทั้งสองมาใช้ร่วมกัน ภาพนี้ให้แสงจากซอฟท์บ๊อกซ์จากด้านหลังของขนมโดยอยู่ห่างออกไป 6 ฟุตและยกสูงขึ้นไป 5 ฟุต แล้วแทนที่จะหันไฟไปที่ขนมโดยตรงก็ให้หันไฟไปตรงหน้า (ไม่ต้องหันลงมาที่ขนม) เพื่อที่ซอฟท์บ๊อกซ์จะไม่ได้ให้แสงไปที่ตัวแบบโดยตรง นี่เป็นรูปแแบบของฟีเธอร์ริ่งอีกระดับเพื่อสร้างแสงอ่อนนุ่มที่สวยงาม

Setup3_Pic2

เมื่อคุณลดความเข้มของแสงด้วยวิธีนี้ ต้องระลึกเอาไว้ว่าคุณกำลังให้แสงของภาพด้วยแสงที่ฟุ้งกระจายจากไฟแฟลชของคุณ คุณจำเป็นต้องชดเชยแสงโดยการปรับ ISO, เพิ่มกำลังไฟแฟลชหรือปรับตั้งรูรับแสง
และเพื่อเติมรายละเอียดในส่วนของเงาโดยการใช้แสงแบ็คไลท์(แสงจากด้านหลัง) ลองใช้แผ่นสะท้อนแสงสีเงินของคุณดูสิ

การจัดแสงแบบที่ 4

Setup4_Pic1

Setup4_Pic2

ถ้าคุณต้องการภาพที่มีความเปรียบต่างของแสงที่มากกว่าแสงจากซอฟท์บ๊อกซ์ละก็ ลองใช้บิวตี้ดิชสีเงินดูสิ ในภาพนี้แหล่งกำเนิดแสงอยู่ทางขวาเล็กน้อยจากตัวกล้องและห่างจากตัวแบบ 3 ฟุต จัดวางของด้านล่างของบิวตี้ดิชอยู่ตรงกับส่วนบนสุดของหัวของตัวแบบก็เพื่อผลของฟีเธอร์ริ่งอีกนั่นเอง และเพื่อจะเปิดรายละเอียดในส่วนของเงา บอกนางแบบของคุณให้ถือแผ่นสะท้อนแสงแล้วขยับปรับให้ชี้ไปที่คางและอย่าลืมให้มันอยู่นอกกรอบภาพด้วยล่ะ

การจัดแสงแบบที่ 5

Setup5_Pic1

ถ้าคุณอยากได้แสงอ่อนนุ่ม คุณจำเป็นต้องเพิ่มขนาดของแหล่งกำเนิดแสงให้สัมพันธ์กับตัวแบบของคุณ แท้จริงแล้วทางที่จะทำได้คือการเลื่อนแหล่งกำเนิดแสงให้เข้ามาอยู่ใกล้ๆ ตัวแบบนั่นเองหรือไม่ก็ใช้ส่วนขยายเช่นซอฟท์บ๊อกซ์ที่ใหญ่ขึ้น อีกทางหนึ่งคือคุณสามารถที่จะหันแหล่งกำเนิดแสงไปสะท้อนกับผนังหรือเพดาน เพื่อเปลี่ยนพื้นผิวของมันให้เป็นแหล่งกำเนิดแสงของคุณ

Setup5_Pic2

เพื่อเลียนแบบแสงในภาพนี้ ให้ใส่ไฟแฟลชสตูดิโอของคุณกับจานสะท้อนแสงเปล่าๆ (ไม่ต้องใช้ซอฟท์บ๊อกซ์) แล้วหันมันไปยังมุมของห้อง ที่สำคัญต้องระวังเรื่องสีของผนังด้วยนะไม่เช่นนั้น แม้แต่แค่การเพี้ยนของสีขาวเพียงเล็กน้อยนั้นสามารถเป็นสาเหตุให้สีของภาพผิดเพี้ยนไปและมันจะต้องเสียเวลามากในการแก้ไขอีกด้วย แต่ถ้าคุณถ่ายภาพขาว-ดำแล้วละก็ ความเพี้ยนของสีจะไม่มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย และคุณก็สามารถสะท้อนแสงของคุณจากพื้นผิวต่างๆ ตามที่คุณจินตนาการได้เต็มที่

อย่างที่เห็น คุณไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์มากมายเพื่อใช้สำหรับการจัดแสงในสตูดิโอ แค่ไฟดวงเดียว, ส่วนขยายอีก 1-2 อย่างและแผ่น/จานสะท้อนแสง ก็จะช่วยลบข้อจำกัดของโอกาสในการสร้างสรรค์ภาพของคุณได้แล้ว เดินหน้าต่อไปและนำข้อแนะนำนี้ไปพิจารณาถึงชุดไฟที่จำเป็นและสไตล์ของคุณ จงอย่ากลัวที่จะทดลอง เพราะที่จริงแล้วการทดลองเป็นวิธีที่จะใช้งานอุปกรณ์ของคุณได้อย่างไม่มีข้อจำกัดต่างหากล่ะ

อ่านต้นฉบับ

เกี่ยวกับผู้เขียน : จอห์น แม็คอินไทร์ เป็นช่างภาพบุคคลอาศัยอยู่ใน UK เขาศึกษาการถ่ายภาพเชิงพาณิชย์ที่มหาวิทยาลัย ลีดด์ เมโทรโพลิแทนท์ เขาหลงใหลในการถ่ายภาพและพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอๆ คุณสามารถรู้จักกับเขาเพิ่มเติมได้ที่อินสตาแกรมของเขา

 

แปล/เรียบเรียง : Tombass
เผยแพร่ : วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2558 เวลา 3:40 น. GMT+7 THAILAND

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เลนส์เอนกประสงค์ 3 ระยะ .. ที่ควรจะมีไว้ในครอบครอง ..

3-type-of-lens-should-own-all-lens

ผม/ฉันควรจะซื้อเลนส์ตัวไหนมาใช้บ้างครับ/ค่ะ?
มันคือคำถามที่ผมได้ยินบ่อยมากๆ จากนักถ่ายภาพมือใหม่

และในเมื่อมันมีเลนส์ให้เลือกใช้อยู่หลากหลายแบบที่จำเป็นต้องใช้ในสถานการณ์ที่ถ่ายภาพแตกต่างกัน จากหลายๆ ครั้งแล้วผมก็ค้นพบว่ามีเลนส์อยู่ 3 แบบที่ผมวางใจเอามันไว้ในกระเป๋ากล้องทุกครั้งที่ออกเดินทางถ่ายภาพซึ่งตัวแรกก็คือเลนส์ซูมระยะปกติ (18-50 มม.) เอาไว้ใช้งานทั่วไป ตัวที่สองคือเลนส์มาโคร และตัวสุดท้ายคือเลนส์ซูมระยะเทเลโฟโต้ (70-200 มม.)
นี่คือเลนส์ 3 ตัวที่จะครอบคลุมสถานการณ์ถ่ายภาพโดยทั่วไปได้เกือบทั้งหมดแล้ว และยังเป็นเลนส์ 3 ตัวที่มีให้ใช้สำหรับกล้องทุกแบบทั้งฟูลเฟรมและตัวคูณ รวมถึงทุกเม้าท์เลนส์ที่มีจำหน่ายในตลาดอีกด้วย

เลนส์ซูมระยะปกติ
นี่เป็นเลนส์ที่ติดตั้งมากับกล้องเกือบทุกตัว สำหรับกล้องตัวคูณหรือ APS-C จะมีระยะเหมาะสมอยู่ที่ 18-50 มม. ส่วนในระบบ 35 มม.หรือฟูลเฟรมจะอยู่ที่ระยะ 24-70 มม. เลนส์ตัวนี้ให้ระยะไวด์ที่เพียงพอและยังซูมภาพของแบบที่อยู่ไกลได้พอเหมาะอีกด้วย บางทีอาจจะเป็นเลนส์คิทที่ติดมากับกล้องแต่ถ้าเป็นไปได้ก็ควรที่จะเปลี่ยนให้เป็นเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างที่สุดสัก f/2.8 ก็จะทำให้คุณสามารถควบคุมระยะชัดลึกได้ดียิ่งขึ้น มันเป็นเลนส์ที่ให้ภาพที่ดีเมื่อคุณไม่แน่ใจว่าคุณกำลังจะถ่ายอะไร !!!

เลนส์มาโคร
ระยะของเลนส์ไม่สำคัญเท่ากับความสามารถในการสร้างภาพในอัตราขยายที่ 1:1 ของตัวแบบ ตอนนี้ผมมีเลนส์มาโครในระยะ 50 มม. f/2.8 ในกระเป๋ากล้องเพราะว่ามันตัวเล็กและน้ำหนักเบาอีกด้วย เมื่อไหร่ที่ต้องการใช้งานก็สามารถหยิบใช้ได้อย่างสะดวก มันยังเหมาะสมที่จะใช้เป็นเลนส์ถ่ายภาพบุคคลอีกด้วย (ให้ภาพที่คมมากและรูรับแสง f/2.8 จะให้ระยะชัดที่แคบเพียงพอ) และระดับของรายละเอียดที่คุณได้รับเมื่อถ่ายใกล้ๆ วัตถุนั้นมันน่าตื่นตาตื่นใจมากๆ เลนส์มาโครจะช่วยเปิดโลกใบใหม่ของการถ่ายภาพสิ่งเล็กๆ และถ้าคุณทำงานถ่ายภาพสินค้า/ผลิตภัณฑ์ (เครื่องประดับ, อาหารหรืออื่นๆ) เลนส์มาโครจะให้ระดับของรายละเอียดได้ดีกว่าที่คุณจะได้จากเลนส์ที่ไม่ใช่มาโคร

3-type-of-lens-should-own-macro

เลนส์เทเลโฟโต้
ควรมีระยะอยู่ที่ 70-200 มม.กับรูรับแสงกว้างสุดที่ f/4 เป็นอย่างต่ำ (ยิ่งกว้างเท่าไหร่ก็ยิ่งดี - [และยิ่งแพง : ความเห็นผู้เขียน]) เลนส์ตัวนี้จะให้ระยะทำการที่ไกลขึ้นกับระยะชัดที่แคบมากขึ้น มันจะช่วยคุณแยกตัวแบบออกจากฉากหลังได้อย่างสะดวก และสำหรับตัวแบบที่เคลื่อนไหวเร็วๆ นั้น รูรับแสงที่กว้างกว่าช่วยให้คุณใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่สูงกว่าได้ ซึ่งจะช่วยจับภาพวัตถุที่เคลื่อนไหว (เช่น นกบินหรือภาพกีฬา) ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย และนี่ยังเป็นเลนส์ถ่ายภาพบุคคลที่ยอดเยี่ยม เพราะว่าด้วยระยะของมันที่ให้ความเพี้ยนน้อยกว่าและมุมมองภาพที่แคบกว่าจะช่วยเติมตัวแบบให้เต็มกรอบภาพของคุณได้อย่างยอดเยี่ยม

เดี๋ยวก่อน .. แล้วตัวไหนดีล่ะ?
ฉันแน่ใจว่าจากที่คุณอ่านมานั้นมันมีเลนส์ที่ให้คุณต้องตัดสินใจเลือกอยู่หลายตัว ไม่ว่าจะเป็น 50 มม., เลนส์มุมกว้าง หรือเลนส์ซูมระยะยาวๆ และทั้งหมดนั้นก็เป็นเลนส์ดีที่น่าเป็นเจ้าของทั้งนั้น อย่างไรก็ตามสำหรับช่างภาพมือใหม่หรือคนที่เพิ่งจะซื้อกล้องตัวแรกนั้น เลนส์ทั้งสามตัวที่กล่าวมาสามารถจะใช้ได้อย่างเอนกประสงค์สำหรับการถ่ายภาพในเกือบจะทุกสถานการณ์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพในครอบครัว, ถ่ายภาพกีฬา, ถ่ายภาพนก แมลง ดอกไม้, ภาพทิวทัศน์, ภาพบุคคลหรืออื่นๆ อีกมากมาย สิ่งแรกเลยคุณต้องบีบความต้องการของคุณให้อยู่ในแนวการถ่ายภาพที่คุณชอบเสียก่อน เลนส์แต่ละตัวอาจจะได้ใช้ประโยชน์เฉพาะกับตัวแบบบางอย่าง แต่จนกระทั่งคุณไปถึงวันนั้นแล้วจะรู้ได้เองว่าเลนส์ทั้งสามตัวจะเป็นเลนส์ที่ช่างภาพทุกคนควรจะต้องมีพกติดตัวเอาไว้เสมอ

ตามลิ้งค์นี้ไปอ่านต้นฉบับกันครับ
http://digital-photography-school.com/three-lenses-every-photographer-should-own

ผู้เขียน : Chris Folsom
Chris Folsom ทำงานช่างภาพเป็นงานอดิเรก เค้าหลงใหลกับการถ่ายภาพตึกร้าง คุณสามารถดูผลงานของเขาได้ที่ www.studiotempura.com หรือชมภาพเพิ่มเติมของเขาได้ที่ Flickr

 

เรียบเรียง : Tombass
เมื่อ : วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2558 เวลา 1:04 น. GMT+7 THAILAND

วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

แสงธรรมชาติกับการถ่ายภาพบุคคล

portrait-simple-exercise-0

วันนี้ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นการสนุกที่จะได้ร่วมแบ่งปันแบบฝึกหัดเล็กๆ ที่อยู่ในอีบุ๊คที่ชื่อ Natural Light (by Michell Kanashkevich) ที่จะช่วยให้สัมผัสได้ถึงเนื้อหาในหัวข้อและฉันคิดว่ามันมีประโยชน์ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงแสงและการถ่ายภาพบุคคลได้ดียิ่งขึ้น

แบบฝึกหัดนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงความแตกต่างของการถ่ายภาพโดยแสงธรรมชาติซึ่งมันจะตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิงกับแสงประดิษฐ์ นั่นก็คือว่า กับแสงประดิษฐ์แล้วคุณสามารถให้แสงโดยตรงกับตัวแบบโดยการเคลื่อนย้ายแหล่งกำเนิดแสงไปรอบๆ ได้อย่างง่ายดายและยังสามารถกำหนดเปลี่ยนแปลงกำลังของแสงได้โดยตรงอีกด้วยเช่นกัน

แต่เมื่อเราต้องมาทำงานกับแสงธรมชาติแล้วนั้น เราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับตัวเราและ/หรือตัวแบบให้สัมพันธ์กับแหล่งกำเนิดแสงแทนนั่นเอง แทนที่จะเคลื่อนย้ายแหล่งกำเนิดแสง มันเป็นตัวเรา(และตัวแบบ)ที่อาจจะจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายตำแหน่งแทน

แบบฝึกหัดนี้มันเป็นอะไรที่ง่ายๆ

แค่หาห้องที่มีหน้าต่างที่ให้แสงสว่างกระจายอย่างเพียงพอ (ไม่ใช่แสงตรงนะครับ)

ให้ตัวแบบของคุณเคลื่อนไปอยู่ยังตำแหน่งต่างๆ ที่สัมพันธ์กับหน้าต่าง แล้วคุณก็เคลื่อตัวของคุณไปรอบๆ ตัวแบบ จากนั้นก็กดชัตเตอร์ คุณต้องให้ความสนใจให้มากกับผลที่เกิดขึ้นในภาพแต่ละตำแหน่งที่คุณเคลื่อนไป ว่าทิศทางของแสงนั้นสร้างภาพให้ออกมาเป็นอย่างไร

สำหรับอีบุ๊คของ Mitchell ได้ทำแบบฝึกนี้กับหลานชายของเขา ด้านล่างนี้เป็นภาพและไดอะแกรมที่สัมพันธ์กันระหว่างตำแหน่งของตัวแบบกับหน้าต่าง และด้านล่างก็มีข้อมูลที่อธิบายแต่ละภาพ, ค่า EXIF และอะไรที่ Mitchell ทำและทีผลอย่างไรกับแต่ละภาพ

 

  1. ตัวแบบหันหน้าทำมุมประมาณ 45 องศากับหน้าต่าง
    ผลที่ได้คือ ความลื่นไหลอย่างมากของโทนแสงจากส่วนสว่างไปสู่ส่วนที่เป็นเงา
    portrait-simple-exercise-1
    ค่า EXIF : 16-35mm.@35mm. f/2.8, 1/125s, ISO200
  2. ตัวแบบยืนทำมุม 90 องศาหรือขนานกับหน้าต่าง หันด้านข้างให้หน้าต่าง
    ผลที่ได้คือ ความเปรียบต่างที่สูงระหว่างแต่ละด้านของใบหน้าที่อยู่ใกล้หน้าต่างและด้านที่อยู่ไกลจากหน้าต่าง
    portrait-simple-exercise-2
    ค่า EXIF : 16-35mm.@35mm., f/2.8, 1/200s, ISO500
  3. ตัวแบบยืนทำมุม 90 องศาหรือขนานกับหน้าต่าง และหันหน้าไปที่หน้าต่าง
    ผลที่ได้คือ แสงยังคงเหมือนแบบฝึกที่ 2 แต่แทนที่ด้านหนึ่งของใบหน้าจะอยู่ในเงามืดนั้น ใบหน้าทั้งสองด้านก็สว่างเพียงพอแต่ด้านหลังหัวจะอยู่ในเงามืดแทน
    portrait-simple-exercise-3
    ค่า EXIF : 16-35mm.@35mm., f/2.8, 1/125s, ISO500

Mitchell ยังได้กล่าวเพิ่มเติมเอาไว้อีกว่า แหล่งกำเนิดแสงเช่นหน้าต่างยังช่วยให้คุณสามารถควบคุมความเข้มของแสงได้อีกด้วย การที่คุณอยู่ห่างจากแหล่งกำเนิดแสงก็หมายความว่าสามารถลอความเข้มของแสงให้น้อยลงได้ และความเข้มของแสงที่น้อยลงก็หมายถึงความเปรียบต่างที่ลดลงของส่วนสว่างและส่วนของเงามืดนั่นเอง

ฉันทำแบบฝึกหัดนี้กับสมาชิกในครอบครัวและจะหลงใหลกับผลที่ได้และยังทำให้คุณจำได้ดีกับสไตล์การถ่ายภาพต่างๆ ที่คุณจะเก็บไว้เป็นทักษะติดตัว และสุดท้ายคุณก็จะสามารถเปลี่ยนการปรับตั้งต่างๆ ทั้งหมดนี้อย่างง่ายดายไปตามตำแหน่งของตัวคุณและตัวแบบของคุณได้อย่างคล่องแคล่วต่อไป

ลองไปฝึกกันนะครับ แล้วมาบอกให้เรารู้สักหน่อยนะ ว่าคุณฝึกมันแล้วได้ผลเป็นอย่างไร

ทดลองแบบฝึกอื่นๆและเรียนรู้เพิ่มเติมจาก Mitchell ในอีบุ๊ค Natural Light eBook

 

ลิ้งค์ไปอ่านต้นฉบับ : http://digital-photography-school.com/a-simple-exercise-on-working-with-natural-light-in-portraits/

 

เขียนโดย : Tombass
เขียนเมื่อ : Sat.2 May,2015 / 21:10 GMT+7 TH

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

ความทรงจำที่ชัดเจน ..

TypeL-resized.jpg

แดดอ่อนๆ กำลังสาดสีทองของแสงสุดท้ายแห่งวัน ระยิบระยับทาทาบทับไปบนผิวน้ำในทะสาปประจำหมู่บ้าน ระลอกคลื่นต่างออกมาเต้นระริ้วพลิ้วไหวไปตามสายลมที่พัดเอื่อยๆ ราวกับกำลังล้อหลอกหยอกเย้ากับเจ้าแมลงปอตัวน้อยที่ถลาร่อนลงแตะผิวน้ำครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนบางครั้งผมก็อยากจะถามเจ้าตัวจ้อยปีกบางเหล่านั้นว่า “เจ้าเคยเหนื่อยบ้างไหมนะ .. กับการบินร่อนไปมา .. เพื่อตามหาอะไรสักอย่าง?”

ภาพของคนหนุ่มสาวที่ควงคู่กันออกไปปั่นเรือถีบรูปทรงห่านฟ้าลำเล็กที่มีพื้นที่เฉพาะแค่สองคน ปั่นกันไปคุยกันไปกระหนุงกระหนิงตามประสาคนมีความรักที่อยากใช้เวลาร่วมกันโดยไม่ต้องมีใครมากวนใจอยู่ใกล้ๆ อาหารปลาห่อใหญ่ที่ซื้อมาจากบนฝั่งกำลังถูกโปรยจากมือทั้งสองที่เกาะกุมกันอย่างอบอุ่น เสียงฮุบน้ำดังจ๋อมแจ๋มของเหล่าปลานิลปลาตะเพียนที่ออกมาร่วมวงบุฟเฟ่ต์อาหารเย็นรอบๆ ลำเรือแห่งความรักช่วยทำให้มื้อนี้ไม่ต้องมีน้ำตาลมาเติมเพิ่มกันแต่อย่างใดเลยทีเดียว

ต้นไผ่กอใหญ่สูงชะลูดที่แตกกิ่งก้านผลิใบคมกริบกำลังเอนพริ้วปลิวไสวตามกระแสลมที่พัดเอื่อยๆ ต่างก็พร้อมใจกันกรีดใบบรรเลงเสียงเพลงแห่งสนธยาราวกับว่ากำลังพร่างพรมนิ้วอย่างลื่นไหลไปบนฟิงเกอร์บอร์ดของไวโอลินชั้นดีที่สร้างสรรค์บทเพลงโดยนักดนตรีที่ชื่อว่า”ธรรมชาติ”

ผมมีโอกาสได้นั่งชื่นชมกับธรรมชาติที่สวยงามเช่นนี้อยู่ทุกวัน เพราะเป็นสมาชิกวีไอพีของหมู่บ้านนี้ที่ลูกชายซื้อทิ้งเอาไว้ให้ผมได้ใช้ชีวิตบั้นปลายหลังเกษียณอย่างมีความสุขในสังคมที่อบอุ่นเอื้ออาทรและไว้ใจได้ในความปลอดภัย ก็แน่ล่ะบ้านแต่ละหลังที่นี่ราคาเกือบยี่สิบล้านบนเนื้อที่แต่ละแปลงที่มีขนาดกว่าสองงาน ก็คงไม่น่าแปลกใจใช่ไหมครับที่ผมจะมีทะเลสาปส่วนตัวที่มองเห็นได้จากสนามหญ้าหลังบ้านเอาไว้ให้ได้ซึมซับบรรยากาศแห่งยามเย็นได้อย่างสบายอารมณ์เช่นนี้

อย่าเพิ่งอิจฉาผมกันเลยครับ อ่านเรื่องของผมจบแล้วคุณอาจไม่อยากเป็นผมก็ได้นะครับ

มันไม่ใช่เงินของผมหรอกนะครับที่ซื้อบ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านแห่งนี้ ลำพังเงินเดือนครูประชาบาลแค่เดือนละไม่กี่สตางค์คงไม่มีปัญญาหรอกครับ อาศัยว่าเจ้าลูกชายคนเดียวของผมนั้นเค้าทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อยู่ และนั่นก็เลยพอจะมีกำรี้กำไรเป็นกอบเป็นกำเอามาซื้อบ้านเอาไว้ให้พ่อแก่ๆ อย่างผมได้อยู่สุขสบายในยามเกษียณราชการกับเค้าบ้าง

ttowerr.jpg

ผมกับลูกอยู่กันแค่สองคนเพราะแม่ของเค้ากันแยกทางกับผมไปตั้งแต่เค้าเพิ่งจะได้สักขวบนึงล่ะมั๊ง ผมเองก็ไม่ได้คิดจะหาแม่ใหม่ให้เค้าหรอก เพราะการที่มีเค้าก็นับเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับผมแล้วนี่ครับ มาจนวันนี้เค้าเติบใหญ่กลายเป็นเสาหลักคอยค้ำยันเสาไม้เก่าๆ ที่เคยกล้าแกร่งยืนท้าฝ่าแดดลมฝนมาจนเริ่มผุพังให้ยังคงยืนอยู่จนได้เห็นโลกยุคใหม่ในทุกวันนี้ จากการงานหน้าที่อันมีภาระรับผิดชอบสูงมากของเค้าทำให้เราสองคนพ่อลูกมีเวลาคุยกันน้อยลงติดต่อกันน้อยลง เพราะเค้าต้องเดินทางไปมาระหว่างประเทศต่างๆ ในหลายทวีปทั่วโลก

ผมเข้าใจเค้าดี ไม่เคยเรียกร้องให้มาหาเพราะไม่อยากจะรบกวนเวลาทำงานของเค้า ..

แม้จะคิดถึงภาพเก่าในอดีตที่เจ้าตัวน้อยเคยวิ่งขึ้นบันไดเสียงตึงตังรีบมานอนกลิ้งเกลือกเอาขาก่ายกันหลับไปทุกคืนเพราะกลัวพ่อจะหายไป เสียงโหวกเหวกตั้งแต่เช้ามืดของผมที่ตะโกนปลุกเค้าให้รีบลุกขึ้นมาอย่างยากเย็นเพื่ออาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียน ในขณะที่มือทั้งสองข้างของผมก็กำลังตระเตรียมอาหารเช้าให้พร้อม แล้วสองพ่อลูกก็บิดมอเตอร์ไซค์คันเก่าคร่ำออกไปกระทำภารกิจของตัวเอง ผ่านสองข้างทางที่ชีวิตของคนบ้านนอกในแต่ละวันได้เริ่มต้นขึ้นพร้อมๆ กับแสงแดดอ่อนสอดส่องแยงตาจนต้องหรี่ตาแทบมองไม่เห็นทาง เคยกลิ้งตกข้างทางทั้งพ่อทั้งลูกลงไปในทุ่งนาที่รวงข้าวสีทองสวยกำลังชูช่อปลิวไสวจนเมล็ดข้าวเปลือกในรวงกระจายเกลื่อน ได้แผลกันไปคนละสอง-สามแผลกว่าจะไปถึงโรงเรียนประจำอำเภอได้อย่างทุลักทุเล นึกถึงทีไรก็อดยิ้มไม่ได้ทุกทีสิน่า

ภาพแห่งรอยยิ้มที่ฟันหน้าทั้งสองซี่หายไปยังคงติดตาผมไม่เคยลืมเลือน ครั้งนั้นมีอยู่วันนึงเค้าวิ่งเข้ามาหาผมอย่างหน้าตาตื่นแล้วแบมือเล็กๆ ออกมาโดยกลางฝ่ามือน้อยๆ นั้นมีฟันซี่เล็กที่เพิ่งหลุดออกมา แล้วเค้าก็บอกผมว่า ..

“หนูเอาลิ้นดุนเล่นไปมามันก็หลุดออกมาเลยครับป๊ะป๋า .. แล้วมันจะงอกมาใหม่หรือเปล่าครับ? .. แล้วเลือดหนูจะไหลจนหมดตัวหรือเปล่าครับ? .. แล้ว .. แล้ว .. แล้ว …..”

คำถามมากมายที่พรั่งพรูออกมาจากเด็กชายวัยเพียงแค่ย่างสี่ขวบ ทำเอาผมซึ่งเป็นพ่อตามตอบให้ไม่ทันจริงๆ ก็เลยได้แต่บอกว่า ..

“เดี๋ยวเราเอาฟันของหนูไปโยนขึ้นหลังคากันนะ โยนขึ้นไปสูงๆ ฟันจะได้ขึ้นเร็วๆ “ ..

“แล้วทำไมต้องโยนขึ้นไปบนหลังคาด้วยล่ะครับ? .. แล้วทำไมโยนขึ้นไปสูงๆ มันถึงขึ้นเร็วล่ะครับ?” ..

ผมได้แต่อมยิ้มกับความไร้เดียงสาของเจ้าตัวน้อยที่เต็มไปด้วยความช่างสงสัย ซึ่งบางคำถามก็ไม่รู้จะอธิบายให้เค้าเข้าใจได้อย่างไร

5.gif

ความทรงจำในวันที่ก้าวแรกของเค้าได้เริ่มนับหนึ่ง ล้มลุกคลุกคลานอยู่หลายครั้งหลายครา กว่าเค้าจะโผเข้ามาหาผมที่ยืนรอประคองเค้าอยู่จนได้ วันที่ผมพาเค้าออกไปหัดเดิน ผมเดินถอยหลังแล้วจับสองแขนเล็กๆ ของเด็กชายตัวน้อยผิวขาวหน้ากลมๆ ใส่เสื้อกล้ามสีเหลืองอ่อนกับผ้าอ้อมลายการ์ตูนผืนใหญ่ ใส่ร้องเท้าสีแดงคู่เล็กที่ส่งเสียงดังปี๊ดๆ ทุกครั้งที่เท้าเล็กๆ เหยียบลงไป เพื่อช่วยพยุงให้เค้าได้เดินเตาะแตะๆ อยู่หน้าบ้านของเรา ..

ภาพของการไปโรงเรียนวันแรกที่ผมนั่งสอนเค้าผูกเชือกรองเท้า ซึ่งเค้าเองก็พยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่สำเร็จสักที จนสุดท้ายผมต้องเข้าไปผูกให้จะได้ไม่ต้องไปโรงเรียนสายและผมก็จะได้ไม่ต้องไปสอนหนังสือสายเช่นกัน เค้าไม่เคยร้องไห้หรือเกลียดกลัวกับการไปโรงเรียนเพราะเค้าคุ้นเคยกับการไปโรงเรียนกับผมตั้งแต่ยังตัวเล็กๆ เค้าชอบที่จะอยู่คอยที่โรงเรียนในเวลาที่ผมต้องอยู่เวรหรือตรวจการบ้านเด็กเพราะเค้าจะได้มีเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันวิ่งเล่นสนุกสนานจนค่ำมืดลืมหิวลืมกินกันทั้งพ่อทั้งลูกซะทุกทีไป

เสียงท่องสูตรคูณดังเจื้อยแจ้วแว่วมาทุกวันตอนเย็นๆ แบบนี้ เคล้ากับเสียงดังฉ่าๆ จากน้ำมันที่กำลังเดือดพล่านของปลาช่อนแห้งทอดที่ผมเพิ่งโยนลงไปในกระทะก้นดำเมี่ยงจากควันไฟร้อนระอุของเตาถ่านที่อยู่ด้านในสุดของตัวบ้าน ร่วมกับแกงเขียวหวานไก่ใส่มะเขือถุงใหญ่ที่ซื้อเหมาส่วนที่เหลือติดก้นหม้อมาจากแม่ค้าขายกับข้าวในตลาดเอามาเทใส่หม้อใบเล็กเพื่ออุ่นให้ร้อนซึ่งขณะนี้ก็กำลังเดือดปุดๆ อยู่เช่นกัน และทั้งหมดนี้ก็จะกลายเป็นอาหารมื้อเย็นของเราสองพ่อลูก กินกับข้าวสวยร้อนๆ ที่กำลังระอุพ่นควันหอมฉุยจนฝาหมอหุงข้าวกระพือจากไอน้ำที่พวยพุ่งดันขึ้นมาจนดังโคล้งเคล้ง มันเป็นภาพชีวิตประจำวันของเราสองพ่อลูกที่ไม่ว่าจะหลับตานึกถึงขึ้นมาครั้งใดก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจนราวกับเพิ่งจะผ่านไปเมื่อวานนี้นี่เอง

ก็อาจจะมีสักวันนึงนะที่เค้าอาจจะต้องมาคอยตอบคำถามที่ผมคอยถามย้ำซ้ำๆ อยู่เรื่อยเพียงเพราะผมจำไม่ได้จริงๆ ว่าผมถามไปหรือยัง? ..

อาจจะมีสักวันที่เค้าอาจจะต้องสอนให้ผมใช้โทรศัพท์เครื่องใหม่ที่เค้าซื้อให้เพียงเพราะผมไม่สามารถจะเข้าใจวิธีการใช้งานที่ซับซ้อนเกินไปของมันได้ ..

อาจจะมีสักวันที่เค้าอาจจะต้องใส่รองเท้าให้ผมเพียงเพราะผมไม่สามารถจะใช้มือเหี่ยวย่นคู่นี้ผูกเชือกรองเท้าได้อีกต่อไป ..

หรืออาจจะมีสักวันที่เค้าอาจจะต้องให้ผมเกาะไหล่เพื่อพยุงให้ขาทั้งสองข้างที่อ่อนแรงเต็มทีของผมได้ก้าวเดินไปพร้อมกับเค้าอีกครั้ง ..

NjpUs24nCQKx5e1DHZWo4nsdC6q19TbSkJbqbbAOSMM.jpg

แต่ทั้งหมดนั้นคงไม่อาจจะเป็นได้ ถ้าเจ้าตัวน้อยของผมไม่ได้อยู่ที่นี่ ..!!!

และไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเพียงใด หรือเค้าจะโตขึ้นสักแค่ไหน อย่างไรเสียเค้าก็ยังเป็นเจ้าเด็กน้อยแสนซนคนเดิมของผมอยู่เสมอ

พรุ่งนี้แล้วสินะที่ผมจะได้เจอเค้าอีกครั้ง จากหลายเดือนก่อนที่เค้าไปติดต่อธุรกิจกับบริษัทใหญ่ในยุโรปเพื่อทำโครงการที่เพิ่งประมูลได้จากส่วนราชการหนึ่งแล้วขาดการติดต่อกับผมนับจากนั้น

สองมือของผมยังกำหนังสือพิมพ์เล่มเก่าในมือแน่นจนยับยู่ยี่ กัดฟันจนกรามเป็นสันนูนขึ้นมา น้ำตาไหลพราก กับหัวใจของผู้เป็นพ่อที่แตกสลายลงไป กับพาดหัวข่าวเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ MH17 ถูกยิงตกที่ยูเครน ผู้โดยสารทั้ง 298 คนเสียชีวิตทั้งหมด

เจ้าหน้าที่จากสถานฑูตโทรมาเมื่อหลายวันก่อนเพื่อแจ้งหมายกำหนดการการส่งศพลูกชายผมที่เป็นหนึ่งในผู้โดยสารของสายการบินมรณะเที่ยวนั้นกลับจากประเทศเนเธอร์แลนด์ให้ผมทราบ

แม้บ้านผมจะหลังใหญ่สักเพียงใด แต่มันก็เป็นบ้านที่ไม่มีคนที่เรารักอยู่ด้วยอีกแล้ว มันจะหาความสุขได้จากไหนกันละครับ ผมยังคงเฝ้ารอเสียงโทรศัพท์โดยหวังว่ามันจะดังขึ้นและเสียงจากปลายสายจะเป็นเจ้าของเสียงที่ผมอยากได้ยิน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม ..

ผมได้แต่ภาวนาให้ปาฏิหารย์มีจริงสักครั้ง ..

 

--- นายเมษา ---
พุธ 29 เมษายน 2558 เวลา 23:46 น.

วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

ฝันร้าย .. ที่ปลายทาง ..


cover-slum3
แสงแดดของเช้าวันใหม่เริ่มสาดแสงสดใสขึ้นอีกครั้ง หลังจากเมื่อตลอดค่ำคืนที่ผ่านได้ยินแต่เสียงฟ้าร้องครืนๆ ระคนกับเสียงดังจั่กๆ ของเม็ดฝนที่กระทบหลังคาสังกะสีเก่าคร่ำสนิมเขรอะ สายฝนอ่อนๆ ที่โปรยปรายมันพัดพาเอาความเย็นยะเยือกเข้ามาเกาะกุมในหัวใจของสมพงศ์ หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบกว่าจากผืนแผ่นดินที่ราบสูงที่เข้ามาเสี่ยงโชคในเมืองใหญ่ด้วยเพราะเหตุว่าผลผลิตที่ไม่เป็นไปตามฤดูกาลจากนาผืนน้อยที่ตกทอดจากบรรพบุรุษเพียงแค่หยิบมือนั้นมันไม่เพียงพอต่อภาระปากท้องของทั้งเมียกับลูกเล็กๆ อีกสองคนนั่นเอง
ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากชาวอีสานอีกหลายๆ คนที่ต่างก็เข้ามาตามหาความฝันในเมืองหลวงเช่นเดียวกับเขา ด้วยวัยและสุขภาพที่ทรุดโทรมอย่างมากจากการทำงานหนักมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็กน้อยจึงมีไม่กี่อาชีพที่เขาจะทำได้ หนึ่งในนั้นก็คือการขับแท็กซี่ แม้ตัวของเขาเองก็ไม่เคยขับรถมาก่อนแต่ในยามนี้ก็ไม่มีหนทางใดๆ ให้เขาเลือกได้มากมายนัก เถ้าแก่เจ้าของอู่เองก็ไม่ได้ใส่ใจจะไปว่าอะไรเพราะคิดว่าอย่างไรเสียก็ดีกว่าปล่อยรถจอดเอาไว้เฉยๆ ไม่ได้อะไรขึ้นมา และก็นับว่าเป็นรายได้ที่ไม่เลวเลยทีเดียวกับค่าเช่ารถรุ่นเก่ารวมกับเติมแก๊สแล้วตกแค่ประมาณเจ็ด-แปดร้อยบาท วิ่งทั้งวันได้ลูกค้าต่อเนื่องหน่อยก็ยังพอมีเงินเหลือเก็บได้พอสมควรอยู่เหมือนกัน ดูๆ ไปแล้วดูเขาจะถูกโฉลกและดวงคงจะสมพงศ์สมชื่อกับเจ้าแท็กซี่คันนี้ทีเดียว มีลูกค้าตลอดทั้งวันวิ่งเที่ยวต่อเที่ยวกันเลย ประกายความหวังที่ได้เห็นครอบครัวลืมตาอ้าปากได้เริ่มผุดขึ้นมาในแววตากร้านโลกคู่นั้นอย่างสุกใส
slum2
เขาลืมตาลุกขึ้นบิดตัวสะบัดหัวไล่ความง่วงแต่ก็รู้สึกเหมือนจะไม่สบายเนื้อตัวรุมๆ แต่ก็หนาวเหน็บจากข้างในเหมือนจะเป็นไข้ แล้วก็รู้สึกเจ็บคออย่างมากจนเสียงแหบแห้งแทบไม่สามารถพูดได้เลยด้วยซ้ำ ยาแก้ไข้แก้อักเสบก็เลยจำต้องถูกกล้ำกลืนผ่านช่องคอเข้าไปด้วยความยากลำบากเพราะมันจะเจ็บจี๊ดแทบน้ำตาไหลทุกครั้งที่ยาแต่ละเม็ดผ่านหลอดคอลงไปสู่กระเพาะ แต่อย่างไรเสียชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป คนจนอย่างเขาไม่มีสิทธิจะมานอนป่วยถ้าหากยังพอมีแรงก็ต้องดิ้นรนออกไปหาเงินให้ได้
เช้าวันอาทิตย์หลังฝนตกแบบนี้ส่งผลให้อากาศยามปลายฝนต้นหนาวเย็นสบายสดชื่นยิ่งนัก หยาดน้ำฝนปนน้ำค้างยังคงเปียกปอนอยู่บนยอดหญ้ากลิ้งไปมาสะท้อนแสงอาทิตย์วาววับดูสวยงามจับตาจับใจ เสียงดีเจวิทยุรายการลูกทุ่งเมืองหลวงกำลังพูดคุยกับผู้ฟังอย่างเขาผ่านหน้าปัทม์วิทยุอย่างสนุกสนาน สำเนียงเสียงภาษาบ้านเกิดที่ได้ยินมันช่วยให้ใจครื้นเครงไปตามจังหวะเพลงหมอลำที่ขับขานเคียงคู่ไปบนถนนยามเช้าที่ยังโปร่งโล่งไร้วี่แววของรถติด สมพงศ์ขับเจ้าแท็กซี่คู่ใจชิดซ้ายกินลมชมวิวไปเอื่อยๆ ไม่นานนักยังไม่ทันที่เพลงโปรดของเขาจะบรรเลงจบเขาก็ได้ลูกค้ารายแรกของวันนี้
“ไปสุขาภิบาล 5 มีนบุรี .. ” เสียงแหบแห้งของชายหนุ่มเสื้อสีฟ้าอ่อนเอ่ยถาม
สมพงศ์หรี่เสียงเพลงจากวิทยุลงพร้อมพยักหน้าเป็นการตอบรับ ชายหนุ่มก้าวขึ้นนั่งเบาะหลังด้านซ้ายพร้อมเสียงปิดประตู รถวิ่งไปตามถนนสุขาภิบาล 3 สู่มีนบุรี เสียงเพลงยังดังแผ่วๆ  สลับกับเสียงลมที่พัดผ่านช่องแอร์ในรถดังหวือๆ แต่ทำไมบรรยากาศในรถถึงได้เย็นยะเยือกขนาดนั้น
เขาเหลือบมองผู้โดยสารผ่านกระจกมองหลังก็สังเกตเห็นว่าชายหนุ่มนั่งก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือของตัวเองพร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ผมเปียกหมาดๆ ที่ปรกลงมาทำให้มองเห็นหน้าผู้โดยสารของเขาไม่ค่อยชัดเจนนัก เสื้อสีฟ้าอ่อนที่มีรอยขี้โคลนติดชายเสื้อตัวนั้นก็ดูจะเปียกชื้นเหมือนตากฝนมาทั้งคืน รถวิ่งผ่านแยกแล้วแยกเล่าเข้าสู่พื้นที่ชานเมืองที่กลุ่มบ้านพักอาศัยเริ่มเว้นระยะห่างออกไปเรื่อยๆ สลับแซมด้วยป่าหญ้าป่ากกสีเหลืองคล้ำที่ยืนสะบัดใบสูงอยู่ข้างทาง ถนนสุขาภิบาล 5 ขณะนั้นยังเป็นถนนที่เพิ่งตัดใหม่เป็นส่วนต่อขยายจากสุดถนนสุขาภิบาล 3 หมู่บ้านใหม่ๆ เริ่มผุดขึ้นบ้างแล้วตามอัตราการขยายตัวของเมืองใหญ่ ถึงกระนั้นก็ยังคงสภาพบรรยากาศของความเป็นชนบทชานกรุงอย่างได้อย่างไร้รอยต่อ ถ้าต้องมาส่งผู้โดยสารในเวลากลางค่ำกลางคืนก็เสี่ยงที่จะถูกลวงมาจี้ปล้นได้ง่ายๆ จนเป็นที่เลื่องลือในหมู่คนขับแท็กซี่ว่ามีหลายคนหลายคันที่โดนมาแล้วกับตัวเอง บางคนเสียแค่ทรัพย์สิน แต่บางคนถึงขั้นเลือดตกยางออกหรือเสียชีวิตไปเลยก็มี เขาเลยเปลี่ยนช่องรายการวิทยุไปฟังรายงานจราจร เสียงโทรศัพท์จากผู้สื่อข่าวอาสาต่างโทรเข้ามารายงานข่าวใหญ่ประจำเช้าวันอาทิตย์ด้วยเรื่องฆ่าชิงทรัพย์แท็กซี่แล้วเผาอย่างสุดโหดย่านสุขาภิบาล 5 มีนบุรีที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อช่วงกลางดึกคืนที่ผ่านมา
เสียงรายงานข่าวจากที่เกิดเหตุของนักข่าวอาสาจราจรที่ขณะนี้ปรับเปลี่ยนตัวเองไปเป็นนักข่าวสายอาชญากรรมเป็นการชั่วคราวกำลังส่งเสียงเจื้อยแจ้วผ่านเทคโนโลยี 4 จีของเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของประเทศ ด้วยการเลียนแบบสไตล์การย่อยข่าวใส่ไข่เติมแต้มสีสันให้สนุกสนานชวนให้น่าติดตามแบบการรายงานข่าวยุคใหม่ผ่านสื่อประสมยุคปัจจุบันของผู้สื่อข่าวสาวตัวดำๆ จากรายการข่าวหลายมุมมองหลากมิติของช่องน้อยสี โดยมีเนื้อความประมาณว่า ...
“จากซอยลัดแคบๆ ที่ใช้หลีกเลี่ยงการจราจรบนถนนใหญ่นั้นบัดนี้ดังระงมไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจจากวิทยุสื่อสารของเจ้าหน้าที่มูลนิธิ เจ้าหน้าที่พยาบาลฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้ยังรวมไปถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังระงมของเหล่าบรรดาไทยมุงที่ต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันถึงความโหดเหี้ยมทารุณของคนร้ายที่ฆ่าชิงทรัพย์ปาดคอคนขับจนแทบขาดดับอนาถอยู่ในคูน้ำข้างรถแท็กซี่ที่ถูกเผาจนไหม้เกรียมไปทั้งคัน ตอนนี้ศพถูกห่อด้วยผ้าขาวโดยที่ยังเห็นชายเสื้อสีฟ้าเปื้อนเลือดเกรอะกรังเคล้าดินโคลนแลบออกมานอกผ้าเล็กน้อย ….. บลา บลา บลา …” คนฟังก็สนุกโดยยังได้รับรู้ข่าวสารไปด้วยพร้อมๆ กันเช่นเดียวกับสมพงศ์ในขณะนี้
assassin
ขณะที่รถแท็กซี่ของสมพงศ์วิ่งผ่านจุดเกิดเหตุก็มีเสียงครางฮือๆ เบาๆ ในลำคอพร้อมเสียงกัดฟันกรอดๆ ราวกับโกรธแค้นใครอย่างหนักดังมาจากเบาะผู้โดยสารด้านหลังทำลายความเงียบสงัดที่ต่างนั่งอึดอัดกันมาตลอดการเดินทาง แล้วผู้โดยสารนิรนามก็เริ่มบทสนทนา
“คนร้ายมันใจโฉดจริงๆ คนเค้าออกมาทำมาหากินก็ยังจะไปทำเค้าอีก จะเอาเงินเอาทองก็เอาไป ทำไมต้องไปฆ่าไปแกงกันด้วยด้วยนะ .. ว่าไม๊ ..?” เจ้าของเสียงแหบชวนคุยพร้อมทิ้งคำถามในตอนท้าย
“นั่นน่ะสิ คนที่อยู่ข้างหลังคงต้องลำบากแน่ๆ ที่ต้องเสียหัวหน้าครอบครัวไปแบบนี้” สมพงศ์เอ่ยปากเห็นด้วยกับเค้า
“แล้วนี่ไม่กลัวถูกจี้ถูกปล้นบ้างหรือ .. มาส่งที่เปลี่ยวๆ แบบนี้น่ะ” เค้าถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้า
“โอ๊ยยยย .. นี่มันเช้าแล้ว .. ถ้าเป็นกลางค่ำกลางคืนดึกดื่นผมก็ไม่มาหรอก” สมพงศ์ตอบแบบระแวง ประสาททุกส่วนเริ่มตื่นตัวเตรียมพร้อมรับมือว่าเค้าจากมาไม้ไหนกันแน่
“กลางวันก็โดนได้นะ ..” เจ้าของเสียงแหบพร่านั้นสอดส่ายสายตากราดเกรี้ยวจ้องผ่านกระจกมองหลัง
ทันใดนั้นสมพงศ์ก็รู้สึกเย็นวาบเข้าที่ด้านข้างจากคมมีดมันวาวยาวราวๆ ครึ่งฟุตที่คมกริบกำลังหันปลายแหลมเข้าสู่กลางลำตัวของเขา พร้อมกับคิดในใจ “โดนซะแล้วกู ..”
desolate-village
รถผ่านพ้นทางเลี้ยวของหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งย่านเขตติดต่อระหว่างมีนบุรีกับลาดกระบัง คล้ายกับหมู่บ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จแล้วโครงการพับไปช่วงฟองสบู่แตก แต่กับบางบ้านก็จำต้องเข้ามาอยู่เพราะเงินมัดจำก็จ่ายไปแล้ว ทำเรื่องกู้แบงค์ผ่านไปด้วยดีต้องเป็นหนี้ไปแล้วอีก 25 ปี หมดทุนรอนไปแล้วก็เยอะ ครั้นจะไปอยู่ที่อื่นก็ไม่มีเงินก้อนอีกแล้ว สภาพถนนคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดกว้าง 6 เมตรในหมู่บ้านจึงค่อนข้างทรุดโทรมแต่ก็ยังใช้การได้ดี ผิดกับสองข้างทางนั่นต่างหากที่ทำให้ชวนสยองพองเกล้าเพราะเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าคารกชัฏที่สูงท่วมหัว เหมาะจะเป็นสถานที่ก่ออาชญากรรมเป็นที่สุด
สมพงศ์ต้องจำยอมขับมาตามคำสั่งของผู้ที่กุมชีวิตเขาไว้ในกำมือด้วยมัจจุราชสแตนเลสในเงื้อมือพญายมอันมีชื่อเรียกในโลกแห่งความเป็นจริงว่าโจรในคราบผู้โดยสารนั่นเอง เหงื่อกาฬเม็ดเป้งแตกพลั่กๆ ไหลรินผ่านใบหน้าซีดเผือด เสื้อสีฟ้าที่ใส่ขับรถทุกวันมันเปียกชุ่มโชก หัวใจเต้นแรง พลันคิดถึงหน้าเมียรักและลูกเล็กๆ ทั้งสองที่ต่างรอคอยวันกลับไปหาที่บ้านนอกของเขาในสัปดาห์ถัดไป
แต่ชีวิตของเขาก็อาจจะอยู่ไม่ถึงเสียแล้ว เพราะบัดนี้ความอยู่รอดของเขากำลังถูกแขวนอยู่บนด้ายเส้นเล็กๆ บางเบา ที่พร้อมจะขาดสะบั้นลงได้ทุกเมื่อ แต่ละวินาทีแห่งชีวิตกำลังเยื้องย่างผ่านไปอย่างเนิบช้า มันช่างเป็นห้วงเวลาแห่งความสิ้นหวังโดยแท้ ที่ตัวเองไม่สามารถแม้จะรักษาสิทธิ์ในการมีชีวิตอยู่เอาไว้ได้ เพียงเพราะมันถูกกำหนดความเป็นความตายจากชายนิรนามผู้หนึ่งที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักมักจี่กันเสียด้วยซ้ำ
“จอดตรงนี้แหละ .. ดูเอาไว้ว่าตรงนี้นี่คือที่ตายของแกล่ะ ..” เสียงแหบพร่าคำรามก้อง
สิ้นเสียงสุดท้ายจากโจรร้ายใจทมิฬ .. ไม่ต้องมีคำอ้อนวอน ไม่มีเสียงร้องขอชีวิตอีกต่อไป มีดเล่มนั้นถูกดันแหวกกลีบเนื้อข้างลำตัวผ่านกระบังลมทะลุตรงเข้าสู่ปอด สมพงศ์เจ็บแปล๊บในหน้าอกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เสียงอากาศพุ่งสวนออกมาดังฟรี้ๆ ผู้โดยสารนิรนามยังนั่งยิ้มดูสมพงศ์ตาเหลือกลานจากอากาศที่กำลังหมดไปจากปอดของเขา เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกจากแผลสาดกระเซ็นเป็นฝอยไปทั่วเบาะคนขับ มีดถูกชักออกมาแล้วคราบเลือดยังไหลหยดจากปลายมีด
killer-knife
มือขวาของเจ้าฆาตกรโรคจิตที่ดูผอมเกร็งปูดโปนของเส้นเลือดซึ่งก็ดูไม่น่าจะมีเรี่ยวแรงเท่าใด แต่บัดนี้กลับจิกแน่นบนเส้นผมของสมพงศ์ที่กำลังชักกระตุกเป็นห้วงๆ ในยามที่ใกล้จะหมดลมหายใจและสติสัมปชัญญะสุดท้ายใกล้จะดับลงเต็มที พร้อมกับรั้งมาด้านหลัง ใบหน้าถูกเงยขึ้นจากแรงดึง คางเชิดสูงเปิดพื้นที่ส่วนของลำคอให้เหยียดตึง และมีดเล่มเดิมนั่นเองก็บั่นคมของมันลงไปที่คอของสมพงศ์ด้วยแรงจากอีกมือของมัน คมมีดยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ เฉือนเนื้อชำแรกผิวหนังสู่เส้นเอ็นแล้วผ่านสู่หลอดเลือดเป็นแนวนอนไปจนสุดหยุดที่ความแข็งของกระดูกต้นคอ แต่ก็ทำให้ส่วนคอของสมพงศ์ไร้ซึ่งการยึดโยงจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นใดๆ ของร่างกายอีกต่อไป ด้วยน้ำหนักของหัวจึงทำให้ห้อยต่องแต่งอยู่ตรงนั้นนั่นเอง
เลือดในร่างของสมพงศ์พุ่งกระฉูดราวกับเปิดก๊อกน้ำที่บ้านนอกของเขา สาดเปียกลื่นคละเคล้ากลิ่นคาวเลือดที่กระจายฟุ้งไปทั่วทั้งห้องโดยสาร พร้อมกับเสียงแหบแห้งของชายนิรนามที่หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจแว่วมาให้ได้ยินในสัมผัสสุดท้าย มันช่างเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสเหมือนกับถูกมีดโกนเป็นล้านๆ เล่มกรีดลงไปบนเนื้อของเขาพร้อมๆ กัน และแล้วแสงสว่างในดวงจิตก็ดับวูบลงไปพร้อมกับความมืดมิดราวกับท้องทุ่งนาบ้านเราในคืนเดือนแรมที่ไร้ซึ่งแสงจันทร์ส่องสว่างนำทางก็ก้าวเข้ามาแทนที่
สมพงศ์ไม่รู้สึกเจ็บอีกแล้ว แค่รู้สึกแสบๆ ในโพรงจมูกและลำคอเหมือนเป็นหวัดลงคอเท่านั้น เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง รู้สึกตัวเบาเหมือนล่องลอยได้ แสงสว่างจ้าพุ่งเข้าตาของเขาอย่างจังทำเอาตาพร่าไปชั่วขณะ แต่ก็พอจะมองเห็นลางๆ ว่ามีนางฟ้าใส่ชุดสีขาว 4-5 องค์ ลอยละล่องไปมาอยู่รอบๆ ตัวเขา นี่เขาตายแล้วได้มาอยู่บนสวรรค์หรือนี่ เขากระพริบตาถี่ๆ อีกครั้งเพื่อจะได้เห็นสวรรค์ตรงหน้าได้ชัดเจนขึ้น
ที่นี่มันไม่ใช่สวรรค์นี่นา .. นี่มันโรงพยาบาลต่างหากล่ะ นางฟ้าที่เห็นเมื่อกี้ก็คือนางพยาบาลนี่เอง .. ก็แสดงว่าเขายังไม่ตายน่ะสิ แล้วนี่เขามาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไง? คำถามมากมายผุดขึ้นมาในห้วงความคิดราวกับดอกเห็นหน้าฝน แต่ก่อนที่สมพงศ์จะเอ่ยปากถามอะไร ชายหนุ่มในเสื้อสีฟ้าดูคลับคล้ายคลับคลาว่าจะคุ้นๆ หน้าก็เดินเข้ามาที่ข้างเตียง พร้อมกับเอ่ยถาม ..
“ฟื้นแล้วเหรอพี่พงศ์ สลบไปตั้งสามวันนึกว่าพี่จะแย่ซะแล้ว” เสียงของบุญสม รุ่นน้องคนสนิทที่ขับแท็กซี่ร่วมอู่เดียวกันกับสมพงศ์กล่าวทัก
“เถ้าแก่เห็นพี่หายไปสองวันไม่ยอมมาส่งรถ ไม่โทรมาบอกอะไรเลย เงินค่าเช่าพี่ก็ไม่เอามาจ่าย เค้าเลยให้ผมไปตามพี่ผ่านจีพีเอสแทร็คเกอร์ ก็ไปเจอพี่นอนสลบไสลไข้ขึ้นสูงในรถที่จอดอยู่กลางหมู่บ้านร้างแถวๆ มีนบุรีโน่นแน่ะ ผมก็เลยพามาส่งที่โรงพยาบาลนี่แหละ” บุญสมร่ายยาวเหมือนรู้ใจเลยช่วยตอบข้อสงสัยทั้งหมดของสมพงศ์ได้ในคราวเดียว
“หมอบอกว่า พรุ่งนี้พี่ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมารับนะพี่ .. ” บุญสมกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะออกไป
taxi-blue
ตอนสายของวันต่อมาชายหนุ่มสองวัยนั่งมาบนรถแท็กซี่สีฟ้าทะเบียน ทน 313 กรุงเทพมหานครที่กำลังมุ่งหน้าไปตามถนนมิตรภาพสู่อำเภอหนึ่งของจังหวัดใหญ่ในภาคอีสานตอนล่าง เพื่อเดินทางกลับสู่บ้านเกิดของสมพงศ์ที่เมียรักและลูกน้อยคอยอยู่อย่างใจจดใจจ่อ พวกเขามาถึงบ้านตอนบ่ายสามกว่าๆ แต่ที่บ้านของสมพงศ์กลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน เสียงหมาเห่ากรรโชกตลอดทางทั้งหมู่บ้าน ซึ่งอาจจะเป็นธรรมชาติของพวกมันเพราะมีรถแปลกถิ่นเข้ามาในเขตปกครองของพวกมันนั่นเอง
บุญสมดูจะไม่สนใจกับเสียงเห่ากันขรมของหมาพันธุ์ไทยหน้าตาบ้านๆ เหล่านั้น แถมบางตัวยังมีหอนรับเสียด้วยสิ เขาเร่งความเร็วขึ้นอีกนิดเหมือนจะรีบไปให้ทันบางอย่าง มุ่งหน้าสู่วัดประจำหมู่บ้านที่ดูราวกับมีงานกันในวันนี้ เผื่อว่าอาจจะเจอครอบครัวของสมพงศ์อยู่ที่นั่นบ้าง
สี่โมงเย็นแล้วแท็กซี่ของบุญสมจอดยังอยู่หน้าวัด แต่เหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นรถสีฟ้าหน้าตาแปลกถิ่นทะเบียนกรุงเทพคันนี้แต่อย่างใด ดูทุกคนยังคงทยอยกันเดินเข้าไปร่วมงานศพของใครบางคนกันอยู่ สมพงศ์นั่งอยู่ในรถพลางสอดสายตามองหาเมียและลูกๆ ของเขา แต่แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกร้อนไปทั้งตัวอย่างหาสาเหตุไม่ได้ทั้งที่แอร์ในรถก็ยังเปิดอยู่พร้อมทั้งส่งกระจายความเย็นจนทั่วทั้งห้องโดยสาร รถแท็กซี่สีฟ้ารุ่นใหม่แบบนี้ระบบแอร์ยังไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใดนี่นา แต่ทำไมเขายังรู้สึกร้อนและก็ยังร้อนขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย หรือจะเป็นเพราะไข้กลับกันแน่..?
Funeral-pyre
ควันสีดำกำลังลอยละลิ่วออกจากปากปล่องของเมรุที่อยู่ด้านหลังของวัด คนกลุ่มหนึ่งแต่งกายในชุดไว้ทุกข์สีดำเดินถือรูปคนหนึ่งกลับออกมาจากวัด มันเป็นรูปของชายอันที่เป็นที่รักของญาติมิตร เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นสามีของหญิงคนหนึ่งที่กำลังน้ำตานองหน้า และที่สำคัญเป็นพ่อของเด็กทั้งสองคนที่เดินออกมาพร้อมกันอีกด้วย ภาพของลูกเมียที่เดินร้องไห้กลับบ้านนั่นคือความทรงจำสุดท้าย สมพงศ์เข้าใจเรื่องทุกอย่างโดยชัดเจน
“งานของพี่พงศ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว คราวนี้เราไปงานผมกันบ้างนะพี่” บุญสมพูดพลางขับรถออกไป ทิ้งหมู่บ้านอันเป็นถิ่นฐานบ้านเกิดของสมพงศ์ไว้ข้างหลัง ทน 313 สีฟ้าคันนี้ออกเดินทางอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าไปสู่จังหวัดใหญ่ทางภาคตะวันตกของประเทศ พลันสมพงศ์ก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งวางอยู่ที่เบาะหลัง เป็นหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายของเมื่อห้าวันก่อน โดยมีพาดหัวตัวใหญ่ว่า ..
car-crash9
“ชนวินาศ 9 คันสังเวยสงกรานต์” กับภาพข่าวของรถแท็กซี่สีฟ้าถูกอัดก็อปปี้จนเครื่องยนต์และตัวถังรถทั้งหน้า-หลังยุบเข้ามารวมกับห้องโดยสาร คนขับร่างแหลกเหลวเละติดอยู่กับซากรถจนเกินกว่าจะงัดแงะออกมาได้ครบทุกชิ้น
 
 
เขียนโดย : นายเมษา
วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2558 เวลา 01:15 น.













































วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2558

ชมพูพันธุ์ทิพย์บานสะพรั่ง .. ทั้ง ม.เกษตรฯ กำแพงแสน

tabebuia-kamphangsaen-5

ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์หรือดอกตาเบบูย่าพร้อมใจกันบานสะพรั่งทั่วทั้ง ม.เกษตรฯ กำแพงแสนแล้วนะ ทำให้ถนนทั้งเส้นกลายเป็นสีชมพูแสนหวานให้คนรักดอกไม้ได้ตามไปเก็บภาพสวยกันอย่างเต็มตา

...

และแล้ววันที่พวกเราเหล่าคนรักการถ่ายภาพดอกไม้ได้รอคอยมาตลอดทั้งเดือนก็ดำเนินเดินทางมาถึงเสียที เมื่อข่าวล่ามาเร็วทั้งจากเพจของชมรมถ่ายภาพ ม.เกษตรฯ กำแพงแสนและภาพที่ได้เห็นจากสำนักข่าวเนชั่นนั้นก็ย่อมจะเป็นสิ่งที่ยืนยันได้จริงว่า "ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์แห่งม.เกษตรฯ กำแพงแสน" ได้ผลิดอกเผยกลีบอ่อนสีชมพูหวานบานสะพรั่งอย่างพร้อมเพรียงกันเต็มตลอดสองฝั่งข้างทาง ชูช่อล้อสายลมร้อนของซัมเมอร์แห่งปีมะแมที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยสายฝนแห่งสงกรานต์

...

tabebuia-kamphangsaen-2tabebuia-kamphangsaen-4

ถนนทุกสาย ผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลมุ่งหน้าไปยัง ม.เกษตรฯ กำแพงแสนและจุดหมายเดียวกันของทุกคนนั้นก็คือต้องการได้เชยชมกับความงดงามอย่างไร้จริตของชิวิตที่อิงแอบแนบชิดกับธรรมชาติ โปรดระลึกเอาไว้ในใจเสมอว่า ดอกไม้จะสวยที่สุดเมื่ออยู่ในธรรมชาติที่ควรจะเป็น .. ซึมซับกับความงามที่ดอกไม้ทุกดอกได้มอบให้ แล้วเก็บกลับไปเพียงแค่ภาพถ่ายและความทรงจำเท่านั้นก็คงจะเพียงพอนะครับ

tabebuia-kamphangsaen-1

ขอบคุณภาพจากสำนักข่าวเนชั่น

 

เขียนโดย : แอดมิน
เมื่อ : วันศุกร์ที่ 17 เมษายน 2558 เวลา 19:45 น.