วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

5 การจัดแสงแบบง่ายๆ .. กับไฟสตูดิโอดวงเดียว ..

Setup2_Pic1

ไฟสตูดิโอคือหนึ่งในชุดเครื่องมือเอนกประสงค์ที่มีประโยชน์ของช่างภาพเช่นคุณ มันสามารถสร้างแสงที่มีคุณภาพได้ไม่จำกัดเวลา ไม่ต้องรอแสงธรรมชาติและมันก็มีส่วนขยาย, อุปกรณ์ต่อพ่วงและเทคนิคการใช้งานอีกจำนวนมากที่ช่วยให้คุณออกแบบรูปทรงของแสงได้ตามที่ต้องการเพื่อเติมเต็มมุมมองที่สร้างสรรค์ของคุณนั่นเอง อย่างไรก็ตามทางเลือกทั้งหมดนั้นมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้คุณรู้สึกสับสนและตัดสินใจลำบากในการใช้งานพวกมัน จำนวนที่มีอยู่มากมายของเครื่องมือเหล่านั้นมันก็ทำให้คุณเชื่อว่าคุณจำเป็นต้องใช้พวกมันให้ได้ประโยชน์มากกว่าขึ้นกว่าเดิม

แต่ยังเคราะห์ดีนะที่ในกรณีของไฟสตูดิโอมันมีแนวคิดที่เรียกว่า "น้อยคือมาก" ซึ่งในแบบฝึกหัดนี้ผมได้สาธิต 5 แบบของการใช้ไฟสตูดิโอดวงเดียวเพื่อสร้างผลของภาพที่ดีกับตัวแบบหลายๆ อย่าง แม้ว่าแต่ละภาพสร้างจากส่วนขยายที่กำหนดมาแล้ว แต่ว่าการจัดแสงในแบบฝึกหัดนี้นั้นจะสามารถทำงานกับส่วนขยายเกือบทั้งหมดที่คุณเลือกได้ดีเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถเปลี่ยนมาใช้ซอฟท์บ๊อกซ์แทนบิวตี้ดิช มันก็จะให้รูปทรงของแสงที่อ่อนนุ่มกว่าแต่คุณก็จะยังได้ผลลัพธ์ของภาพที่ดีอยู่และบางเทคนิคก็ต้องใช้รีเฟล็กเตอร์สีเงินอีกด้วย

ถ้าคุณไม่มีรีเฟล็กเตอร์ คุณก็สามารถที่จะเอากระดาษการ์ดแผ่นใหญ่ๆ ติดด้วยกระดาษฟลอยด์ หรืออีกทางเลือกหนึ่งก็คือใช้กระจกสะท้อนเสียเลย คุณไม่จำเป็นต้องใช้หัวไฟสตูดิโอหรือไฟแฟลชก็ได้ เพราะแสงจากหน้าต่างก็ให้ผลของภาพได้เหมือนๆ กัน

นี่คือ 5 รูปแบบการจัดแสงไฟสตูดิโอด้วยไฟดวงเดียวที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง

การจัดแสงแบบที่ 1

Setup1_Pic1

เทคนิคง่ายๆ คือเป้าหมายของภาพ แหล่งกำเนิดแสงคือหัวไฟสตูดิโอกับซอฟท์บ๊อกซ์ขนาดกลาง จัดวางให้ห่างจากตัวแบบประมาณ 5 ฟุต และยกให้สูงขึ้นไปประมาณ 4 ฟุตแล้วกดลงมา 45 องศา กล้องอยู่ใต้ซอฟท์บ๊อกซ์ตรงๆ (บัตเทอร์ฟลาย ไลท์ติ้ง)

Setup1_Pic2

กึ่งกลางของซอฟท์บ๊อกซ์ให้หันไปที่ด้านซ้ายของตัวแบบ(ทางขวาของกล้อง) ให้แสงที่ออกจากขอบของแหล่งกำเนิดแสงตรงไปตกที่ตัวแบบ ซึ่งเทคนิคนี้เรียกว่า ฟีเธอร์ริ่ง หรือการลดความเข้มของแสง มันมีประโยชน์ในการควบคุมและการปรับแสงในภาพอย่างละเอียด ช่วยสร้างแสงที่อ่อนนุ่มจากส่วนขยายที่ให้แสงแข็งอย่างเช่นจานสะท้อนแสง 110 องศา
ถ้าคุณไม่คิดจะใช้ฟีเธอร์ริ่งเทคนิคในตอนนี้ ก็ลองปรับแหล่งกำเนิดแสงของคุณหันไปที่จมูกของตัวแบบแทนดูก็ได้

การจัดแสงแบบที่ 2

Setup2_Pic1

Setup2_Pic2

เพื่อสร้างแสงแบบดราเมติกในภาพของคุณ ก็ลองให้แสงกับตัวแบบของคุณจากด้านหลังดูสิ ภาพน้องหมาของผมให้แสงไฟจากซอฟท์บ๊อกซ์ที่อยู่ 45 องศาจากด้านหลังและกล้องอยู่ด้านซ้าย ซอฟท์บ๊อกซ์จะอยู่ใกล้ๆ กับตัวแบบมากๆ แค่ให้อยู่นอกเฟรมภาพจากทางด้านซ้ายเท่านั้นก็พอ แต่เพราะน้องหมาเป็นสีดำและขาวจึงสร้างความเปรียบต่างสูงมากในภาพนี้ เงาทางซ้ายของน้องหมาด้านที่อยู่ใกล้กับกล้องจะมืดมากๆ เพื่อจะแก้ปัญหานี้ คุณควรจะต้องใช้แผ่นสะท้อนแสงมาช่วย แค่ให้มันอยู่นอกกรอบภาพทางด้านขวาก็พอและการนำมันเข้ามาใกล้ๆ จะช่วยให้คุณสร้างแสงสะท้อนเพื่อเติมแสงในเงามืดได้เป็นอย่างดี

การจัดแสงแบบที่ 3

Setup3_Pic1

นำเอาเทคนิคที่ผ่านมาทั้งสองมาใช้ร่วมกัน ภาพนี้ให้แสงจากซอฟท์บ๊อกซ์จากด้านหลังของขนมโดยอยู่ห่างออกไป 6 ฟุตและยกสูงขึ้นไป 5 ฟุต แล้วแทนที่จะหันไฟไปที่ขนมโดยตรงก็ให้หันไฟไปตรงหน้า (ไม่ต้องหันลงมาที่ขนม) เพื่อที่ซอฟท์บ๊อกซ์จะไม่ได้ให้แสงไปที่ตัวแบบโดยตรง นี่เป็นรูปแแบบของฟีเธอร์ริ่งอีกระดับเพื่อสร้างแสงอ่อนนุ่มที่สวยงาม

Setup3_Pic2

เมื่อคุณลดความเข้มของแสงด้วยวิธีนี้ ต้องระลึกเอาไว้ว่าคุณกำลังให้แสงของภาพด้วยแสงที่ฟุ้งกระจายจากไฟแฟลชของคุณ คุณจำเป็นต้องชดเชยแสงโดยการปรับ ISO, เพิ่มกำลังไฟแฟลชหรือปรับตั้งรูรับแสง
และเพื่อเติมรายละเอียดในส่วนของเงาโดยการใช้แสงแบ็คไลท์(แสงจากด้านหลัง) ลองใช้แผ่นสะท้อนแสงสีเงินของคุณดูสิ

การจัดแสงแบบที่ 4

Setup4_Pic1

Setup4_Pic2

ถ้าคุณต้องการภาพที่มีความเปรียบต่างของแสงที่มากกว่าแสงจากซอฟท์บ๊อกซ์ละก็ ลองใช้บิวตี้ดิชสีเงินดูสิ ในภาพนี้แหล่งกำเนิดแสงอยู่ทางขวาเล็กน้อยจากตัวกล้องและห่างจากตัวแบบ 3 ฟุต จัดวางของด้านล่างของบิวตี้ดิชอยู่ตรงกับส่วนบนสุดของหัวของตัวแบบก็เพื่อผลของฟีเธอร์ริ่งอีกนั่นเอง และเพื่อจะเปิดรายละเอียดในส่วนของเงา บอกนางแบบของคุณให้ถือแผ่นสะท้อนแสงแล้วขยับปรับให้ชี้ไปที่คางและอย่าลืมให้มันอยู่นอกกรอบภาพด้วยล่ะ

การจัดแสงแบบที่ 5

Setup5_Pic1

ถ้าคุณอยากได้แสงอ่อนนุ่ม คุณจำเป็นต้องเพิ่มขนาดของแหล่งกำเนิดแสงให้สัมพันธ์กับตัวแบบของคุณ แท้จริงแล้วทางที่จะทำได้คือการเลื่อนแหล่งกำเนิดแสงให้เข้ามาอยู่ใกล้ๆ ตัวแบบนั่นเองหรือไม่ก็ใช้ส่วนขยายเช่นซอฟท์บ๊อกซ์ที่ใหญ่ขึ้น อีกทางหนึ่งคือคุณสามารถที่จะหันแหล่งกำเนิดแสงไปสะท้อนกับผนังหรือเพดาน เพื่อเปลี่ยนพื้นผิวของมันให้เป็นแหล่งกำเนิดแสงของคุณ

Setup5_Pic2

เพื่อเลียนแบบแสงในภาพนี้ ให้ใส่ไฟแฟลชสตูดิโอของคุณกับจานสะท้อนแสงเปล่าๆ (ไม่ต้องใช้ซอฟท์บ๊อกซ์) แล้วหันมันไปยังมุมของห้อง ที่สำคัญต้องระวังเรื่องสีของผนังด้วยนะไม่เช่นนั้น แม้แต่แค่การเพี้ยนของสีขาวเพียงเล็กน้อยนั้นสามารถเป็นสาเหตุให้สีของภาพผิดเพี้ยนไปและมันจะต้องเสียเวลามากในการแก้ไขอีกด้วย แต่ถ้าคุณถ่ายภาพขาว-ดำแล้วละก็ ความเพี้ยนของสีจะไม่มาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลย และคุณก็สามารถสะท้อนแสงของคุณจากพื้นผิวต่างๆ ตามที่คุณจินตนาการได้เต็มที่

อย่างที่เห็น คุณไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์มากมายเพื่อใช้สำหรับการจัดแสงในสตูดิโอ แค่ไฟดวงเดียว, ส่วนขยายอีก 1-2 อย่างและแผ่น/จานสะท้อนแสง ก็จะช่วยลบข้อจำกัดของโอกาสในการสร้างสรรค์ภาพของคุณได้แล้ว เดินหน้าต่อไปและนำข้อแนะนำนี้ไปพิจารณาถึงชุดไฟที่จำเป็นและสไตล์ของคุณ จงอย่ากลัวที่จะทดลอง เพราะที่จริงแล้วการทดลองเป็นวิธีที่จะใช้งานอุปกรณ์ของคุณได้อย่างไม่มีข้อจำกัดต่างหากล่ะ

อ่านต้นฉบับ

เกี่ยวกับผู้เขียน : จอห์น แม็คอินไทร์ เป็นช่างภาพบุคคลอาศัยอยู่ใน UK เขาศึกษาการถ่ายภาพเชิงพาณิชย์ที่มหาวิทยาลัย ลีดด์ เมโทรโพลิแทนท์ เขาหลงใหลในการถ่ายภาพและพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอๆ คุณสามารถรู้จักกับเขาเพิ่มเติมได้ที่อินสตาแกรมของเขา

 

แปล/เรียบเรียง : Tombass
เผยแพร่ : วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2558 เวลา 3:40 น. GMT+7 THAILAND

วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เลนส์เอนกประสงค์ 3 ระยะ .. ที่ควรจะมีไว้ในครอบครอง ..

3-type-of-lens-should-own-all-lens

ผม/ฉันควรจะซื้อเลนส์ตัวไหนมาใช้บ้างครับ/ค่ะ?
มันคือคำถามที่ผมได้ยินบ่อยมากๆ จากนักถ่ายภาพมือใหม่

และในเมื่อมันมีเลนส์ให้เลือกใช้อยู่หลากหลายแบบที่จำเป็นต้องใช้ในสถานการณ์ที่ถ่ายภาพแตกต่างกัน จากหลายๆ ครั้งแล้วผมก็ค้นพบว่ามีเลนส์อยู่ 3 แบบที่ผมวางใจเอามันไว้ในกระเป๋ากล้องทุกครั้งที่ออกเดินทางถ่ายภาพซึ่งตัวแรกก็คือเลนส์ซูมระยะปกติ (18-50 มม.) เอาไว้ใช้งานทั่วไป ตัวที่สองคือเลนส์มาโคร และตัวสุดท้ายคือเลนส์ซูมระยะเทเลโฟโต้ (70-200 มม.)
นี่คือเลนส์ 3 ตัวที่จะครอบคลุมสถานการณ์ถ่ายภาพโดยทั่วไปได้เกือบทั้งหมดแล้ว และยังเป็นเลนส์ 3 ตัวที่มีให้ใช้สำหรับกล้องทุกแบบทั้งฟูลเฟรมและตัวคูณ รวมถึงทุกเม้าท์เลนส์ที่มีจำหน่ายในตลาดอีกด้วย

เลนส์ซูมระยะปกติ
นี่เป็นเลนส์ที่ติดตั้งมากับกล้องเกือบทุกตัว สำหรับกล้องตัวคูณหรือ APS-C จะมีระยะเหมาะสมอยู่ที่ 18-50 มม. ส่วนในระบบ 35 มม.หรือฟูลเฟรมจะอยู่ที่ระยะ 24-70 มม. เลนส์ตัวนี้ให้ระยะไวด์ที่เพียงพอและยังซูมภาพของแบบที่อยู่ไกลได้พอเหมาะอีกด้วย บางทีอาจจะเป็นเลนส์คิทที่ติดมากับกล้องแต่ถ้าเป็นไปได้ก็ควรที่จะเปลี่ยนให้เป็นเลนส์ที่มีรูรับแสงกว้างที่สุดสัก f/2.8 ก็จะทำให้คุณสามารถควบคุมระยะชัดลึกได้ดียิ่งขึ้น มันเป็นเลนส์ที่ให้ภาพที่ดีเมื่อคุณไม่แน่ใจว่าคุณกำลังจะถ่ายอะไร !!!

เลนส์มาโคร
ระยะของเลนส์ไม่สำคัญเท่ากับความสามารถในการสร้างภาพในอัตราขยายที่ 1:1 ของตัวแบบ ตอนนี้ผมมีเลนส์มาโครในระยะ 50 มม. f/2.8 ในกระเป๋ากล้องเพราะว่ามันตัวเล็กและน้ำหนักเบาอีกด้วย เมื่อไหร่ที่ต้องการใช้งานก็สามารถหยิบใช้ได้อย่างสะดวก มันยังเหมาะสมที่จะใช้เป็นเลนส์ถ่ายภาพบุคคลอีกด้วย (ให้ภาพที่คมมากและรูรับแสง f/2.8 จะให้ระยะชัดที่แคบเพียงพอ) และระดับของรายละเอียดที่คุณได้รับเมื่อถ่ายใกล้ๆ วัตถุนั้นมันน่าตื่นตาตื่นใจมากๆ เลนส์มาโครจะช่วยเปิดโลกใบใหม่ของการถ่ายภาพสิ่งเล็กๆ และถ้าคุณทำงานถ่ายภาพสินค้า/ผลิตภัณฑ์ (เครื่องประดับ, อาหารหรืออื่นๆ) เลนส์มาโครจะให้ระดับของรายละเอียดได้ดีกว่าที่คุณจะได้จากเลนส์ที่ไม่ใช่มาโคร

3-type-of-lens-should-own-macro

เลนส์เทเลโฟโต้
ควรมีระยะอยู่ที่ 70-200 มม.กับรูรับแสงกว้างสุดที่ f/4 เป็นอย่างต่ำ (ยิ่งกว้างเท่าไหร่ก็ยิ่งดี - [และยิ่งแพง : ความเห็นผู้เขียน]) เลนส์ตัวนี้จะให้ระยะทำการที่ไกลขึ้นกับระยะชัดที่แคบมากขึ้น มันจะช่วยคุณแยกตัวแบบออกจากฉากหลังได้อย่างสะดวก และสำหรับตัวแบบที่เคลื่อนไหวเร็วๆ นั้น รูรับแสงที่กว้างกว่าช่วยให้คุณใช้ความเร็วชัตเตอร์ที่สูงกว่าได้ ซึ่งจะช่วยจับภาพวัตถุที่เคลื่อนไหว (เช่น นกบินหรือภาพกีฬา) ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย และนี่ยังเป็นเลนส์ถ่ายภาพบุคคลที่ยอดเยี่ยม เพราะว่าด้วยระยะของมันที่ให้ความเพี้ยนน้อยกว่าและมุมมองภาพที่แคบกว่าจะช่วยเติมตัวแบบให้เต็มกรอบภาพของคุณได้อย่างยอดเยี่ยม

เดี๋ยวก่อน .. แล้วตัวไหนดีล่ะ?
ฉันแน่ใจว่าจากที่คุณอ่านมานั้นมันมีเลนส์ที่ให้คุณต้องตัดสินใจเลือกอยู่หลายตัว ไม่ว่าจะเป็น 50 มม., เลนส์มุมกว้าง หรือเลนส์ซูมระยะยาวๆ และทั้งหมดนั้นก็เป็นเลนส์ดีที่น่าเป็นเจ้าของทั้งนั้น อย่างไรก็ตามสำหรับช่างภาพมือใหม่หรือคนที่เพิ่งจะซื้อกล้องตัวแรกนั้น เลนส์ทั้งสามตัวที่กล่าวมาสามารถจะใช้ได้อย่างเอนกประสงค์สำหรับการถ่ายภาพในเกือบจะทุกสถานการณ์อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพในครอบครัว, ถ่ายภาพกีฬา, ถ่ายภาพนก แมลง ดอกไม้, ภาพทิวทัศน์, ภาพบุคคลหรืออื่นๆ อีกมากมาย สิ่งแรกเลยคุณต้องบีบความต้องการของคุณให้อยู่ในแนวการถ่ายภาพที่คุณชอบเสียก่อน เลนส์แต่ละตัวอาจจะได้ใช้ประโยชน์เฉพาะกับตัวแบบบางอย่าง แต่จนกระทั่งคุณไปถึงวันนั้นแล้วจะรู้ได้เองว่าเลนส์ทั้งสามตัวจะเป็นเลนส์ที่ช่างภาพทุกคนควรจะต้องมีพกติดตัวเอาไว้เสมอ

ตามลิ้งค์นี้ไปอ่านต้นฉบับกันครับ
http://digital-photography-school.com/three-lenses-every-photographer-should-own

ผู้เขียน : Chris Folsom
Chris Folsom ทำงานช่างภาพเป็นงานอดิเรก เค้าหลงใหลกับการถ่ายภาพตึกร้าง คุณสามารถดูผลงานของเขาได้ที่ www.studiotempura.com หรือชมภาพเพิ่มเติมของเขาได้ที่ Flickr

 

เรียบเรียง : Tombass
เมื่อ : วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน 2558 เวลา 1:04 น. GMT+7 THAILAND