เคยอ่านความเห็นมากมายจากเวบบอร์ดหลายๆ ที่มาแล้ว เรื่องของการใช้โหมดถ่ายภาพของกล้อง เค้าว่ากันว่าอุตส่าห์ซื้อ DSLR ทั้งที หัดใช้โหมด M สิ โหมด P น่ะเค้าไว้ให้เด็กๆ มือใหม่หัดถ่ายเค้าใช้กัน
อยากรู้จริงว่าใครเป็นคนริเริ่มความคิดแบบนี้ แถมยังเผยแพร่เป็นเหมือนลัทธิโหมด M อีกด้วยนะ สังเกตได้ตามเวบบอร์ดหลายๆ แห่งที่แวะเวียนเข้าไปดูอยู่บ่อยๆ เคยเจอประเภทคุยกันอยู่ดีๆ ถามเราว่าใช้โหมดไหนถ่ายล่ะ พอเราบอกว่าโหมด P บ๊ะ .. มันกลับมองเราแบบเย้ยหยันหน่อยๆ แบบว่าแกมันคนละระดับกับชั้น
แล้วก็เริ่มสาธยายว่ามันต้องโหมด M สิ ดีอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างเค้าเนี่ยถ่ายโหมด M มาตลอด เห็นไม๊? ได้แสงได้ภาพที่สวยกว่า(ของแก)เยอะแยะ เค้าเนี่ยระดับโปรนะ เราก็ครับๆๆ เพราะผมมันก็มือใหม่จริงๆ นี่นา
ก็เลยสงสัยว่าโหมด P วัดแสงได้ผลออกมาเหมือนๆ โหมด M หรือเปล่า? ถ้าอยู่ในสภาพแสงเดียวกัน จะได้ค่าพารามิเตอร์ที่เท่าๆ กันหรือเปล่า? ถ้า fix ค่าพารามิเตอร์อื่นที่เกี่ยวข้องให้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น WB, ISO อื่นๆ ให้เป็นค่า default ทั้งหมด อยากรู้จริงหนอว่าไอ่โหมด M มันให้ภาพต่างจากโหมด P แบบทิ้งกันชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ?
ก็เลยลองหยิบเอาน้อง D5000 ตัวเก่งออกมาทดลองถ่ายภาพด้วยโหมดต่างๆ ไล่กันไปตั้งแต่โหมด AUTO, P, S, A, M แล้วลองสังเกตว่ากล้องจะวัดแสงออกให้เป็นอย่างไร? และให้ภาพต่างกันอย่างไร? ก็ได้ผลปรากฎออกมาเป็นดังภาพต่อไปนี้ ที่ระยะ 29 mm., ISO 200, WB-Auto
อันนี้โหมด P กับ S ได้ค่า F8 และ 1/250 ทั้งสองภาพ
ส่วนอันนี้โหมด A กับ M ได้ค่า F8 และ 1/250 อีกเช่นกัน
อธิบายรายละเอียดนิดนึงจะได้เข้าใจตรงกัน ทั้งหมดผมใช้ระบบวัดแสงแบบ Center Weight Average และไม่มีการชดเชยแสงแต่อย่างใด ทั้ง 4 ภาพถ่ายในเวลารวมกันไม่เกิน 10 วินาทีเพื่อให้สภาพแสงเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด ผมถ่ายที่ระยะ 29 mm., ISO 200, WB-Auto
ภาพแรกผมใช้โหมด P* (P-Shift) โดยครั้งแรกกล้องพยายามใช้รูรับแสงกว้างสุดเท่าที่ทำได้ในระยะที่ใช้ถ่ายภาพนี้ แต่ผม shift ให้แคบลงมาเป็น F8 เพื่อหวังผลเรื่องระยะชัดที่เพิ่มขึ้นไม่เช่นนั้นอาจจะเก็บวัตถุที่จะถ่ายได้ชัดไม่เพียงพอ
ส่วนภาพถัดมาก็หมุนวงแหวนเปลี่ยนโหมดไปสู่โหมด S โดยที่ผมเลือก shutter speed ให้เท่ากับภาพแรกคือ 1/250 กล้องก็วัดแสงได้ F8 อีกเหมือนกับโหมด P จากนั้นก็หมุนไปสู่โหมด A ผมปรับ Aperture ให้เป็น F8 กล้องก็วัดแสงได้ที่ 1/250 เช่นเดียวกัน
และสุดท้ายที่โหมด M ผมตั้ง shutter speed ที่ 1/250 และ Aperture ที่ F8 สเกลวัดแสงในกล้องแสดงค่าที่ 0 ไม่ + หรือ - ทั้งหมดก็ได้มา 4 ภาพตามที่เห็นนี่แหละครับ เรามาลองดูภาพในมุมอื่นๆ บ้าง แต่การถ่ายก็จะใช้วิธีเดียวกัน บนเงื่อนไขดังที่กล่าวไว้แล้ว
อันนี้ถ่ายที่ระยะ 29 mm. เช่นเดิม ISO 200, WB-Auto, Aperture F5, Shutter Speed 1/800 sec.
โหมด P กับโหมด S
โหมด A กับโหมด M
ลองมาดูกันอีกซักมุมนึงซิ .. ถ่ายที่ระยะ 29 mm. อีกที ISO 200, WB-Auto, Aperture F11, Shutter Speed 1/500 sec.
โหมด P กับโหมด S
โหมด A กับโหมด M
ดูภาพเปรียบเทียบมุมอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ลิ้งค์นี้เลยครับ https://plus.google.com/photos/103736898918551133698/albums/5861552022202371425
เรื่องโหมด P เนี่ยะผมว่านะ บริษัทกล้องทั้งหลายลงทุนพัฒนาฐานข้อมูลโหมดโปรแกรมนี้จากการใช้งานของช่างภาพอาชีพและผู้ใช้โดยอาศัยพื้นฐานจากพฤติกรรมการใช้งานของกลุ่มตัวอย่างทั่วโลกก่อนที่จะเอาข้อมูลที่ได้มาใส่ลงไปในชิพประมวลผลไม่ว่าจะเป็น EXPEED หรือ Digi IV หรือผู้ผลิตอื่นๆ ก็ตาม ผู้ใช้อย่างเราก็น่าจะเชื่อใจได้ในระดับหนึ่งเพราะเราอาจจะกำลังใช้พารามิเตอร์ของช่างภาพระดับโลกคนใดคนหนึ่งอยู่ก็ได้ใครจะไปรู้ล่ะครับ ..
แต่สภาพแสงจริงในสถานที่ที่เรากำลังถ่ายภาพอยู่นั้นมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นั่นยิ่งเป็นผลดีที่ชิพประมวลผลที่บริษัทกล้องชั้นนำทุ่มทุนคิดค้นด้วยเม็ดเงินลงทุนมหาศาลจะได้แสดงประสิทธิภาพได้เต็มพลังจะได้เห็นกันว่าจะทำได้สมราคาหรือไม่
หากแต่ว่าสภาพแสงบางอย่างอาจจะซับซ้อนเกินกว่าความฉลาดของชิพประมวลผล เช่นสภาพแสงที่มีความเปรียบต่างสูงมาก มีส่วนมืดและส่วนสว่างที่แตกต่างกันในภาพเยอะๆ หรือในสภาพการใช้แสงแฟลชเพื่อลบเงาในเวลากลางวันในวันที่แดดจัด ซึ่งนั่นเองที่คนหลังกล้องต้องเข้าใจเรื่องของการวัดแสง ระบบวัดแสงแบบต่างๆ การชดเชยแสงเพื่อแก้ปัญหาที่ชิพอันชาญฉลาดถูกหลอกจากสภาพแสงที่ซับซ้อนดังกล่าว และก็เป็นเหตุให้ต้องมีโหมด M ให้คุณๆ ได้ใช้กันนั่นเอง
ถ่ายภาพทะเลวันที่มีแดด ถ้าให้กล้องวัดแสงเองจะได้ภาพ under (ซ้าย) ต้องชดเชยแสงเพื่อให้ภาพที่ถูกต้อง (ขวา)
ส่วนโหมด P สมัยนี้มันฉลาดขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะตั้งแยะแล้ว สามารถเปลี่ยนแปลงค่าที่กล้องเลือกให้เรา เพื่อหวังผลที่จะให้ได้ภาพตามจินตนาการที่เราต้องการ ที่เรียกกันว่า P-Shift มีสัญญลักษณ์เป็น P* ที่อนุญาตให้เราเปลี่ยนค่าพารามิเตอร์หลักๆ ในการถ่ายภาพได้ตามต้องการโดยที่ค่าการวัดแสงยังคงถูกต้องพอดีอยู่ เป็นโหมดที่ให้ความสะดวกสบายมากกับการใช้งานถ่ายภาพทั่วไป ครอบคลุมแทบจะทุกสถานการณ์
P-Shift (P*) เปลี่ยนค่าจากที่กล้องตั้งไว้ .. ให้เป็นค่าที่เราต้องการ ..
สิ่งที่ต้องฝึกควบคู่ไปกับการใช้โหมด P-Shift ก็คือ การชดเชยแสง (Compensation) เพื่อแก้ไขความผิดพลาดจากการที่กล้องถูกหลอกจากสภาพแสงที่กล่าวด้านบนนั่นแหละ หากเราฝึกใช้ให้คล่องแคล่วแล้วโอกาสที่จะได้ภาพสำคัญๆ ในเสี้ยววินาทีจะมีมากกว่าโหมด M เพราะไม่ต้องวัดแสงเอง ไม่ต้องเสียเวลามาตั้งค่ารูรับแสง หรือค่าความเร็วชัตเตอร์อีก เพียงแค่ยกขึ้นแล้วเล็ง โฟกัสเข้าก็กดชัตเตอร์ได้ทันที
ส่วนโหมด M กรุณาศึกษาวิธีการใช้ให้ถี่ถ้วน เพื่อที่จะได้รีดเอาประสิทธิภาพและสามารถแก้ไขปัญหาจากสภาพแสงต่างๆ ได้อย่างชำนาญ มิใช่ว่า ข้าใช้โหมด M (ว๊อย) แสดงว่าข้าเป็นโปร ส่วนแกใช้โหมด P (เมิง) เป็นมือใหม่อ่อนหัด ถ่ายรูปสู้(กรู)ไม่ได้หรอก(เว๊ย) เจอคนแบบนี้ .. วัยรุ่น(ตอนปลาย)อย่างผมก็เซ็งอ่ะดิ ..
เขียนเมื่อ : วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2553 เวลา 02:16 น. GMT+7 THAILAND
ผู้เขียน : Tombass
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น