วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เปลี่ยนกล่องเก่าไม่ได้ใช้ .. ให้กลายเป็น Photo Studio Box ..!!!

ต้นเหตุมันเริ่มจากเมื่อวานนี้ (จันทร์ 11 สิงหาคม 2557) ไปขุดค้นคุ้ยหาของบางอย่างในห้องเก็บของ แต่ปรากฎว่าไม่เจอสิ่งที่ต้องการ แต่กลับเจอหนังสือเก่าคร่ำเล่มหนึ่งของตัวเอง เป็นหนังสือเกี่ยวกับการถ่ายรูป เป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่โลกของการถ่ายภาพ ซึ่งยุคสมัยนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีดิจิตัลเฉกเช่นในปัจจุบันที่จะกดถ่ายไปมั่วๆ ถ้าไม่ดีไม่สวย, วัดแสงผิด, จัดองค์ประกอบพลาดหรืออะไรก็ตามแต่ ก็สามารถกดปุ่ม Delete ลบมันทิ้งซะเลยไม่ต้องให้ใครเห็นเป็นที่น่าอับอาย จะได้ยกหางตัวเองเป็นโปรได้ ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระบบวัดแสงทำงานอย่างไรเลย (อุ๊ยตาย .. นอกเรื่องไปหน่อย ขออภัยอย่างแร๊งงงงส์จ้ะ ..!!!)

ในยุคนั้นมันมีแต่ฟิล์มให้เราใช้ ทั้งฟิล์มสไลด์ ฟิล์มสี ขาว-ดำ รวมกับเทคนิคการล้างแบบต่างๆ ทุกอย่างใช้ระบบอัตโนมือล้วนๆ โปรแกรมอัตโนมัติอย่าง PS LR Photoscape หรืออื่นๆ .. ม่ายมีทั้งสิ้น อยากตกแต่งแก้ไขอะไรไปมุดหัวทำเอาในห้องมืดโน่นเลย ทำให้ทุกชัตเตอร์ที่จะกดต้องคิดแล้วคิดอีก ดูทุกอย่างให้ละเอียดรอบคอบ ต้องไม่มีคำว่าพลาดเพราะกว่าจะรู้ว่าดีหรือไม่? ใช้ได้หรือเปล่า? ก็ต้องรอตอนที่ล้าง-อัดรูปออกมาดูแล้วนั่นแหละ และนั่นก็จะหมายถึงเม็ดเงินที่ต้องเสียเพิ่มขึ้นจากความผิดพลาดของเรานั่นเอง ลองสังเกตได้ง่ายๆ ถ้าใครกดชัตเตอร์ช้าๆ กว่าจะกดแต่ละรูปเนี่ยดูแล้วดูเล่า ดูอยู่นั่นแหละให้สันนิษฐานว่าเป็นนักถ่ายภาพยุคฟิล์มแน่ๆ (ฮ่าๆๆ)

มาเข้าเรื่องของเราดีกว่าหลังจากพร่ำพรรณากันมาแล้วสองย่อหน้า ..

จากการที่ชอบไปนั่งดูภาพจากพวกเวบสต็อคทั้งหลาย เห็นรูปภาพแบบที่เป็นโปรดักส์ลอยโดดเด่นบนพื้นหลังสีขาว อันเป็นรูปแบบพื้นฐานของการถ่ายสินค้าเพื่อการโฆษณาทั่วๆ ไปนั่นแหละ มันเป็นอะไรที่ยืดหยุ่นมาก สามารถนำไปได-คัท รีทัช ดัดแปลงเพื่อใช้งานกับแบ็คกราวนด์หลายๆ แบบได้เป็นอย่างดี ภาพแนวนี้ถูกเรียกว่า Isolated Photography ซึ่งเป็นภาพแนวที่ขายดีมากในเวบสต็อคเพราะสามารถนำไปใช้ในเชิงธุรกิจได้หลากหลายมากกว่าภาพแนวอื่น แต่การถ่ายภาพแบบนี้มันต้องใช้อุปกรณ์เสริมบางอย่างเพื่อผลลัพธ์ที่ดีของภาพ ซึ่งก็มีทั้ง Studio Tent, หัวไฟหรือจะใช้โคมไฟอ่านหนังสือก็ไม่ผิดแปลกแต่ประการใด, ขาตั้งหรือ Clamp สำหรับหนีบ, ฉากที่ทำจากกระดาษ ผ้าหรือ PVC ก็ได้ และอุปกรณ์กระจุกกระจิกอีกนิดหน่อย จะว่าไปพอรวมราคาทั้งหมดแล้วก็เล่นเอาหน้าซีดกระเป๋าแบนแฟนทิ้ง(มันทิ้งไปตั้งนานแล้ว ตั้งแต่กระเป๋ายังไม่แบนโน่นแน่ะ .. ฮ่าๆๆๆ)ไปเลย และจากการไปออกไปเดินสำรวจราคาตามร้านค้าที่จำหน่ายอุปกรณ์กล้องชื่อดังและไม่ดังทั้งหลายแหล่ ก็ได้ความว่าจะต้องอนุญาตให้แบงค์ใบละพันปลิวจากกระเป๋าไปตั้งหลายใบเลยเชียว สุดท้ายจึงเห็นควรด้วยว่าน่าจะเก็บของเก่ามาดัดแปลงใช้เองจะดีกว่า จะได้เข้าขากับนโยบายเศรษฐกิจของประเทศในยุคขาลงอย่างเช่นทุกวันนี้

เริ่มจากการเข้าไปรื้อของในห้องเก็บของอีกที เพื่อหากล่องใบใหญ่ๆ ที่แข็งแรงๆ สักใบ พลันเหลือบไปเห็นกล่องใส่ทีวี 25” รุ่นเก่าที่ยังเป็นจอลึกเป็นฟุตไม่ใช่จอแบนบางเป็นกระดาษอย่างในปัจจุบัน(เพราะถ้าเป็นกล่องทีวีจอแบนรุ่นใหม่ก็คงจะใช้ไม่ได้ .. เห็นไม๊ของใหม่ใช่ว่าจะดีกว่าเก่าไปเสียหมด .. ฮาาาาา..) รีบยกออกมาปัดฝุ่นที่เกรอะกรัง หยากไย่ที่ห้อยย้อยระโยงระยางอย่างกับของเก่าในบ้านผีสิงที่รายการทีวีบางรายการชอบเอามามอมเมาคนดู

หลังจากทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูให้พอดูดีมีชาติตระกูลขึ้นมาหน่อย ก็เริ่มเอาไม้บรรทัดวัดจากขอบเข้ามาด้านละ 3” แล้วตีเส้นเป็นกรอบเอาไว้ให้รอบ เพื่อประกาศแลนด์มาร์กเอาไว้ แต่ทำแค่ 3 ด้านพอนะ อีกด้านที่เหลือเอาไว้เป็นพื้นของกล่อง ส่วนด้านบน-ล่างไม่ต้องทำอะไร

จากนั้นก็ลงมือตัดเจาะเคาะดึงล้วงลับจับแกะเกาเขย่าขยอก(อันนี้โอเวอร์ไปหน่อยแล้ว . ฮี่ๆๆ ..) ก็แค่เอาคัตเตอร์ตัดเจาะไปตามเส้นกรอบที่เราขีดเอาไว้นั่นแหละ ก็จะได้กล่องใส่ทีวีที่มีรูขนาดใหญ่ 3 ด้าน เอาล่ะ .. เดี๋ยวเราจะกลับมาทำกล่องกันต่อ ..

ตอนนี้ออกไปเดินเล่นห้างสรรพสินค้ากันซะหน่อย แผนกเครื่องเขียนนะ เรากำลังจะไปตามหากระดาษไขหรือกระดาษลอกลาย ที่ห้างดอกบัวมีจำหน่ายอยู่ม้วนละ 19 บาท มีอยู่ 5 แผ่น ขนาดประมาณ 60x70 ซม. แล้วก็กระดาษแข็งสีขาวที่อีกด้านเป็นสีเทา ราคา 22 บาท กระดาษแข็งสีดำด้านหลังสีขาว ราคา 22 บาทเช่นกัน กาว UHU Stick อันนี้ราคา 50 กว่าบาทมั๊งหรือจะใช้กาวลาเท็กซ์ก็ได้นะ จากนั้นก็ออกจากห้างดอกบัวไปต่อกันที่ห้างเดอะ M เข้าไปซื้อกระดาษโปสเตอร์สีดำ 3 แผ่นๆ ละ 19 บาท ส่วนสีขาว 2 แผ่นๆ ละ 29 บาท(แพงอ่ะ..) ส่วนอุปกรณ์อื่นเช่น กรรไกร คัตเตอร์ ไม้บรรทัดเหล็ก แผ่นรองตัด กระดาษกาวผ้า ถ้ามีแล้วก็ไม่ต้องซื้อ ถ้าไม่มีก็ซื้อติดบ้านไว้เป็นประจำก็ดีนะ และสุดท้ายสิ่งสำคัญที่จะลืมไม่ได้ก็คือหลอดไฟและโคมไฟ(ถ้ายังไม่มี)ครับ จะใช้แบบหลอดตะเกียบประหยัดไฟหรือจะเป็นหลอด LED (ประหยัดไฟกว่า..) จะวัตต์สูงวัตต์ต่ำก็ตามแต่กำลังทรัพย์และกำลังศรัทธาของญาติโยมสาธุชนแต่ละท่านเลย อย่าลืมสังเกตดูอุณหภูมิของแสงด้วยนะครับ ที่ผมซื้อมาเป็นหลอด LED ของ OSRAM แบบ Daylight 6500K ขนาด 6W(40W) ความสว่างอยู่ที่ 400 ลูเมนส์ ราคาจะอยู่ที่ 179 บาทต่อหลอด ผมใช้ 2 หลอดนะ

ได้ของครบตามที่ต้องการก็แวะซื้อเบอร์เกอร์ปลาที่เชสเตอร์กริลล์สักหน่อยในฐานะที่อุตส่าห์จัดโปรมาล่อให้ซื้อซะขนาดนี้ ก็เลยต้องสนองตอบความตั้งใจไปสัก 3 ชิ้นกำลังดีเผื่อจะได้เอาเก็บไว้กินคืนนี้ที่อาจจะอยู่ทำกล่องสตูดิโอจนดึกดื่น เอาล่ะสตาร์ทรถรีบขับกลับบ้านก่อนที่รถจะติดในห้างดีกว่า

กลับมาถึงบ้านก็มาบรรเลงกันต่อ

ป้ายกาวให้ทั่วที่ด้านในกล่องบริเวณที่จะติดกระดาษไขแล้วก็เอาแปะลงไปเลย พยายามรีดให้เรียบสม่ำเสมอทั่วกัน(แต่มันไม่เรียบขนาดนั้นหรอก แต่ก็พอใช้ได้อยู่นะ) จัดการให้ครบทั้ง 3 ด้าน เอากระดาษโปสเตอร์สีดำ ติดที่ฝากล่องทั้ง 4 ให้ทั่วเพื่อป้องกันแสงสะท้อน ส่วนด้านใน(ด้านหลังที่เคยเป็นก้นกล่อง)ก็เอากระดาษแข็งวางให้โค้งๆ ไปด้านข้างหน่อยๆ แล้ววางทับอีกทีในแนวเดียวกันด้วยกระดาษโปสเตอร์สีขาวเพื่อเป็นแบ็คกราวนด์ พื้นกล่องเอากระดาษโปสเตอร์สีดำวางเอาไว้แล้วเอากระดาษโปสเตอร์สีขาววางแนวตั้งให้มันโค้งๆ นะจะได้ไม่เห็นเป็นขอบเป็นสันเวลาถ่าย

จากนั้นจัดเอาโคมไฟทั้ง 2 ดวงไว้ที่ด้านข้าง เปิดไฟส่องผ่านกระดาษไขเข้ามาเลย ส่วนด้านบนที่เป็นช่องติดด้วยกระดาษไขไว้นั้น เราจะใช้เพิ่มแสงบนได้(ถ้าต้องการ) เอากล้องตัวเก่งประกบไว้บนขาตั้งกล้องแล้วเลือกตำแหน่งของแหล่งกำเนิดแสง ระยะและทิศทางเพื่อให้ได้ผลของภาพตามที่เราจินตนาการเอาไว้ในหัวได้เต็มที่ จากนั้นก็มาเริ่มสนุกกับการจัดแสงได้ ณ บัดนี้

 

เขียนเมื่อ : วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ.2557 เวลา 16:00 น.
ผู้เขียน : Tombass

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

เพื่อน(เก่า)มาร่วมทาง ..

songkran-festival-gonorththailand_com.jpg
Picture by http://gonorththailand.com

“ไกลห่างกันครั้งใด .. หัวใจไม่เคยว่างงาน ..
เพราะว่าคิดถึงเธอทุกวัน .. เป็นคนสำคัญที่ฝันอยากเจอ ..
คิดถึงเสมอเพียงเจอ .. คนหน้าคล้ายๆ ..
ฟังคนพูดเรื่องใด .. หัวใจก็แปลเป็นเธอ ..
นับแม้เศษนาที .. คอยวันที่กลับมาเจอ ..
ไม่เห็นก็ห่วงเสมอ .. ถามถึงเธอในใจยามเหงา ..”

เสียงหวานๆ ของคุณก๊อต จักรพันธ์ อาบครบุรี ในบทเพลง “แทนความคิดถึง” ที่โด่งดังเป็นพลุแตกร้องติดปากกันทุกเพศทุกวัยทั้งชาย-หญิงหรือยังไม่แน่ใจเพศตัวเอง และทั้งเด็กผู้ใหญ่เฒ่าชะแลแก่ชรา ส่งเสียงเจื้อยแจ้วดังกังวานลอดผ่านลำโพงตัวเล็กๆ เก่าคร่ำคร่าจะพังแหล่มิพังแหล่ที่ผูกด้วยเชือกฟางยึดติดไว้กับราวเหล็กด้านในหลังคาผ้าใบของรถสองแถวประจำทางที่มุ่งเข้าสู่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศพร้อมกับผู้โดยสารนับสิบคนที่แออัดกันในเที่ยวนี้ เพราะการที่จะพลาดรถในแต่ละเที่ยวนั่นมันหมายถึงว่าการเสียเวลารออีกครึ่งวันกับรถโดยสารขนาดเล็กที่มีเพียงสายเดียวที่จะผ่านเข้าไปยังหมู่บ้านของพีรพล เจ้าหนุ่มเหนือหน้ามนที่ได้วันหยุดยาวจากงานที่ทำเลยตั้งใจกลับมาไหว้แม่ที่ไม่ได้เจอหน้ากันกว่า 7 ปีตั้งแต่ได้ทุนไปเรียนที่กรุงเทพฯ และถือโอกาสมารดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ตามประเพณีในเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ด้วยเลย

แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะการเดินทางในช่วงเทศกาลแบบนี้ ถนนสายสำคัญที่มุ่งสู่ภาคเหนือและภาคอีสานนั่นจะคราคร่ำไปด้วยปริมาณรถยนต์จำนวนมากมายมหาศาล ทำเอาพีรพลที่ออกเดินทางจากเมืองหลวงด้วยรถทัวร์เที่ยวสุดท้ายของวันเสาร์ที่ 12 เมษายนในราวๆ ห้าทุ่มเศษ แต่มาถึงสถานีขนส่งในตัวจังหวัดเอาตอนเกือบห้าโมงเย็นของวันรุ่งขึ้นและจากตรงนั้นก็นับว่ายังดีที่ทันรถสองแถวเที่ยวสุดท้ายที่จะออกในเวลาหกโมงเย็นและนั่นก็เป็นวิธีเดียวที่จะเข้าไปยังหมู่บ้านของเขาได้

bus-terminal-www2_manager_co_th.jpg
Picture by http://www2.manager.co.th

ผู้คนเริ่มทยอยกันขึ้นมานั่งบนรถจนแน่น ถึงจะยืนบ้างนั่งบ้างยังไงก็คงต้องแบ่งๆ กันไปเพราะนี่เป็นรถเที่ยวสุดท้ายแล้ว ตามประสาคนบ้านนอกแต่ก็เอื้อเฟื้อกันไปตามแต่พอจะช่วยกันได้จนท้ายรถสองแถวคันนั้นแทบจะระไปกับพื้น หน้ารถเชิดขึ้นจนคนขับแทบจะมองไม่เห็นถนนแล้ว ล้อหมุนช้ากว่ากำหนดเวลาไปราวครึ่งชั่วโมงเพราะลุงมีคนขับบอกว่าต้องรอผู้โดยสารอีกคนนึงก่อน แต่เท่าที่เขาสังเกตก็ไม่ได้เห็นวี่แววของผู้โดยสารลึกลับคนนั้นแต่ประการใด แล้วรถสองแถวคันเก่าคร่ำจึงได้เริ่มออกเดินทาง

ช่วงชั่วโมงแรกนั้นเส้นทางเรียบราบแบบฉบับถนนในเมือง มีคนเริ่มทยอยลงไปตามรายทางหลังจากผ่านหมู่บ้านไป 5-6 หมู่บ้าน รถเริ่มเบากลับมาอยู่ในระนาบปกติ เหลือคนในรถอีกไม่ถึง 10 คนแล้ว ท้องฟ้าเริ่มมืดลงไปทุกขณะ อากาศที่เคยร้อนระอุในตอนกลางวันก็เริ่มเบาบางลงบ้าง เพราะหลังจากนี้จะเป็นเส้นทางช่วงที่อยู่บนสันเขาทั้งสิ้นจนถึงปลายทางที่หมู่บ้านของพีรพล ซึ่งต้องใช้เวลาอีกประมาณไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงกับถนนราดยางแอลฟัสท์ขนาด 2 ช่องจราจร ที่นานๆ จะเห็นไฟสูงส่องสาดมาแต่ไกลของรถที่วิ่งสวนมาสักคัน ด้วยความชำนาญของลุงมีคนขับที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันกับเขากับเส้นทางสายนี้ที่แกขับมานับสิบปีจึงเป็นที่อุ่นใจได้ว่าปลอดภัยแน่นอน ดังนั้นจากการเดินทางอันแสนทรหดเกือบ 18 ชั่วโมงทำให้เขานั่งคอพับหลับนกอยู่ที่เบาะในสุดนั่นเอง

เขาหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ตื่นมาก็เห็นแสงไฟริบหรี่จากโคมฮาโลเจนสองดวงที่หน้ารถยังสาดส่องไปยังพื้นถนนว่างเปล่าด้านหน้า ต้นไม้ใหญ่ข้างทางยืนตระหง่านจังก้ากิ่งใบสั่นไหวเพราะแรงลมที่รถวิ่งผ่านนั้นดูราวกับกำลังโบกมือเรียกให้เข้าไปหา เริ่มได้ยินเสียงนกกลางคืนส่งเสียงเรียกคู่ของมันฟังโหยหวนทำลายความเงียบสงัดในรถซึ่งตอนนี้เหลือเพียงพีรพลกับสาวนน้อยนางหนึ่งที่ขึ้นมาตอนไหนไม่รู้คาดว่าน่าจะมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่เดียวกัน ด้วยแสงไฟที่น้อยนิดแทบมองไม่เห็นลายมือตัวเองจากหลอดไส้ดวงกลมเล็กกระจิ๊ดริดที่ติดอยู่ด้านท้ายรถ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นหน้าเธอได้ชัดเจนเท่าใดนัก แต่ก็พอมองเห็นเค้าโครงที่แสดงถึงว่าเธอเป็นคนสวยรูปร่างดีคนหนึ่งเลยทีเดียว ใส่ชุดนักศึกษาของราชภัฏในตัวเมืองปล่อยชายเสื้อไว้นอกกระโปรงยาวสีดำซีดๆ เก่าคร่ำมีรอยขาดวิ่นตัวนั้น

night-scene-f0nt_com.jpg
Picture by http://www.f0nt.com

ด้วยความที่คิดว่าเป็นคนบ้านเดียวกันจึงชวนเธอคุยเพื่อให้ทำลายความเงียบสงัดบนรถในยามนี้เป็นการฆ่าเวลาไปในตัว และจากบทสนทนาระหว่างทั้งสอง ด้วยน้ำเสียงอันวังเวงเย็นยะเยือกของเธอระคนไปกับเสียงลมที่พัดอื้ออึงจากรถที่กำลังวิ่งอยู่นั้นก็พอจะจับใจความได้ว่าเธอชื่อ “น้ำหวาน” เป็นลูกของครูบุษบาที่สอนอยู่โรงเรียนประถมประจำหมู่บ้าน บ้านของเธออยู่ในซอยข้างอนามัยใกล้กับสี่แยกใหญ่กลางหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ก่อนถึงบ้านของเขาไม่เท่าไรนัก พอได้ยินชื่อของเธอ พีรพลก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหน มันเหมือนติดอยู่ที่ปลายจมูกแค่นี้แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกสักที เธอบอกว่ากลับจากทำธุระในเมืองขึ้นรถมาจากท่ารถเดียวกับเขา แต่ทำไมพีรพลถึงไม่ได้สังเกตเห็นสาวน้อยคนนี้เลยนะ หรืออาจจะเป็นเพราะจำนวนคนที่แออัดจนแน่นขนัดในตอนแรกจึงมองไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

บทสนทนาไม่กี่ประโยคแต่ดูช่างยาวนานสำหรับเขาจบลงตรงที่รถโดยสารของเขามาจอดนิ่งสนิทเครื่องดับอยู่ที่หน้าอนามัยพอดี น้ำหวานก้าวลงจากรถแล้วเดินหายเข้าไปในซอยด้านข้าง รถยังคงจอดนิ่งอยู่อีกอึดใจแล้วเครื่องก็ติดอีกครั้ง จึงค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าๆ เสียงเร่งเครื่องดังกระหึ่มแต่รถดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากเคลื่อนตัวสักเท่าไหร่ เขานึกเอะใจว่ารถอย่าเพิ่งมาเสียตอนนี้นะ เวลาตอนนี้มันก็ราวๆ สี่ทุ่มแล้วไม่รู้จะหารถที่ไหนต่อเข้าบ้าน หากไม่เช่นนั้นเขาคงต้องเดินผ่านวัดที่ไม่ใช่อะไรที่เหมาะที่ควรสักเท่าไรนัก ถ้าจะเดินผ่านไปในยามค่ำคืนท่ามกลางความมืดตึ๊ดตื๋อแบบนี้ รถค่อยๆ คลานมาช้าๆ ผ่านหน้าวัดก็ได้ยินเสียงลุงมีตะโกนลั่นมาจากด้านหน้าว่า

“เอ้า มาส่งให้ถึงที่แล้วก็พากันลงไปเสีย” เสียงลุงมีตะคอกมาแว่วๆ แต่น้ำเสียงฟังขึงขัง ทำเอาเขานั่งงง จะให้ลงแต่ไม่จอดให้ซะด้วย พลันตะโกนตอบไปว่า
“ยังไม่ถึงบ้านผมนะ อีกตั้งสองกิโลนี่ครับลุง” เขาตะโกนตอบไป แต่ก็ไม่มีเสียงตอบมาแต่ประการใด

พอรถผ่านหน้าวัดอาการเครื่องยนต์หมดแรงวิ่งไม่ออกก็พลันหายเป็นปลิดทิ้ง เหมือนคำอธิษฐานของเขาจะเป็นจริงขึ้นมาเฉยๆ รถกลับมาวิ่งปร๋อเรี่ยวแรงดีเหมือนเดิม ไม่กี่นาทีรถก็มาจอดนิ่งสนิทที่ปากซอยเข้าบ้านของเขาที่ต้องเดินลัดเลาะเลียบชายทุ่งไปอีกสักสองสามร้อยเมตรเห็นจะได้ แสงไฟสีเหลืองอ่อนดูมัวซัวจากฝุ่นที่จับหน้าเลนส์จนหนาเกรอะกรังจากเสาไฟฟ้าข้างถนนมันช่างดูอ่อนแรงเหลือเกินจนแทบมองไม่เห็นทางอยู่แล้ว ไฟท้ายสีแดงริบหรี่หลังรถสองแถวของลุงมีค่อยๆ ลับหายไปในความมืดข้างหน้าคงไปสุดทางที่บ้านของแกตรงท้ายหมู่บ้าน

temple-i812_photobucket_com.jpg
Picture by http://i812.photobucket.com

เดินเข้าซอยมาได้ไม่ถึงห้าสิบเมตรก็สุดซอยแล้ว เส้นทางต่อจากนี้ก็จะเป็นคันนายาวไปจนถึงบ้าน ที่มีแต่แสงจันทร์สีเหลืองนวลส่องสว่างทาทาบไปบนยอดข้าวสีเทาปลิวไสวในท้องทุ่งนากว้างใหญ่ของบ้านเขาท่ามกลางสายลมเย็นยะเยือกที่พัดอ่อนๆ ต้นไม้ป่าสูงใหญ่หลายต้นที่ริมคันนายืนเรียงหน้าดำทะมึนตัดกับท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆหมอกใดๆ ของค่ำคืนก่อนวันเพ็ญเดือนห้า เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านกิ่งใบของต้นไม้ใหญ่ดังกราวๆ ส่งเสียงแผ่วๆ ราวเสียงกระซิบจากความมืดลอดผ่านสู่โสตประสาท เห็นแล้วพาให้ใจผวานึกว่าใครมาโบกมือเรียกให้เข้าไปหา มันชวนให้จิตผวากระเจิดกระเจิง หากไม่ได้เคยเดินผ่านเส้นทางนี้มาแต่เล็กแต่น้อยหัวใจเขาคงตกไปอยู่ที่ตาตุ่มไปแล้ว แต่บรรยากาศมันก็ชวนให้หวั่นใจเสียวสันหลังวูบวาบเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน

เขาเริ่มเร่งฝีเท้าอีกนิดเพื่อจะได้ถึงบ้านเสียที พลันประสาทหูก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินตามหลังดัง สวบ .. สวบ .. สวบ และเหมือนว่ากำลังเร่งฝีเท้าตามมาให้ทันเขาด้วย พีรพลจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีกจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง เจ้าเสียงนั้นก็ดังถี่ขึ้นตามมาติดๆ จนแทบหายใจรดต้นคอ เขาตัดสินใจหยุดเดินแล้วกลั้นใจหันกลับไปดูว่าเจ้าของเสียงนั้นมันคืออะไรกันแน่ ภาพที่เห็นตรงหน้าคือเงาตะคุ่มของกลุ่มชายฉกรรจ์ 3-4 คนที่กำลังก้าวเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว เขาเห็นท่าไม่ดีจึงกลับหลังหันแล้วรีบวิ่งสุดกำลังไปยังบ้านของเขาที่อยู่ข้างหน้าอีกราวร้อยเมตร พลางคิดไปว่านี่เราจะมาโดนปล้นเอาซะที่หน้าบ้านตัวเองหรือนี่ ชายกลุ่มนั้นตามมาทันกันที่บ้านพอดี แม่ที่นั่งรอเขาอยู่ได้ยินเสียงโหวกเหวกเลยออกมาดู จึงได้รู้ว่าเป็นอาสาสมัครตำรวจบ้านที่ออกตรวจตราหมู่บ้านผ่านมาเห็นเงาคนกำลังเดินเข้ามาที่บ้านเลยนึกว่าคนร้ายจึงรีบเดินตามเข้ามาดูแลความปลอดภัย

ลุงชมที่เป็นอาสาสมัครกับพรรคพวกบอกกับแม่ของเขาว่าช่วงนี้มีคนแจ้งเหตุว่าได้ยินเสียงกุกกักในบ้านแต่พอไปตรวจก็เจอแต่ข้าวปลาอาหารกระจัดกระจายเกลื่อนเหมือนเข้ามาขโมยหาอาหารกิน แต่ไม่พบร่องรอยการบุกรุกแต่อย่างใดก็เลยต้องตรวจเข้มกันหน่อย คืนนี้ของพีรพลก็ผ่านไปด้วยกอดรับขวัญจากผู้เป็นแม่ที่จัดเตรียมข้าวปลาอาหารของโปรดของลูกชายเอาไว้รอท่าตั้งแต่เย็น และได้ชื่นชมใบปริญญาที่เขานำมาฝากหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันเกือบ 8 ปี

shop-lh6_googleusercontent_com.JPG
Picture by http://lh6.googleusercontent.com

เช้าวันต่อมาระหว่างที่พากันออกจากบ้านเพื่อไปทำบุญกันที่วัด พีรพลสังเกตเห็นเศษผ้าชิ้นเขื่องที่ดูเหมือนจะกระโปรงสีดำเก่าคร่ำติดอยู่ที่ตอไม้มองลักษณะแล้วดูคุ้นตาเป็นอย่างมาก หลังจากทำบุญกันตามประเพณีเป็นที่เรียบร้อยก็ได้เวลาที่จะไปกราบครูบาอาจารย์และแวะเวียนไปทักเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยประถมอย่าง “หนุ่ม” ที่ไม่ได้เรียนต่อด้วยภาระที่ต้องไปสืบทอดอาชีพตามแนวทางของบรรพบุรุษ ทั้งสองไปนั่งคุยกันถึงเรื่องราวตอนเป็นเด็กประถมกันอย่างออกรสที่ร้านโกฮงศูนย์รวมข่าวประจำหมู่บ้าน แล้วจู่ๆ หนุ่มก็โพล่งถามขึ้นมาว่า

“พล เอ็งจำนารีได้ไม๊? ลูกครูบุษบาชื่อเล่นชื่อน้ำหวานน่ะ เพื่อนของพวกเราตอนสมัยประถมไง?” หนุ่มถามเขา
“อืมมมม .. ใช่น้ำหวานคนที่นั่งรถลุงชมมากับข้าเมื่อคืนนี้นะเหรอเปล่าว๊ะ?” เขาตอบแบบครุ่นคิด
“เห็นบอกว่าเป็นลูกครูบุษบา บ้านอยู่ตรงซอยข้างอนามัย ใช่คนเดียวกันหรือเปล่า?” เขาเล่าต่อ

หนุ่มทำหน้าสงสัยหลังจากได้ยินคำตอบ

“เออ .. ใช่คนเดียวกัน .. ว่าแต่เอ็งนั่งรถมากับน้ำหวานจริงๆ เหรอว๊ะ?” หนุ่มถามอีก
“จริงสิ .. ข้ายังนั่งคุยกับเธอมาตลอดทางจนเธอมาลงไปตรงหน้าอนามัยนั่นแหละ มีอะไรเหรอว๊ะ?” เขาตอบแบบงงๆ ปนสงสัย
“ก็น้ำหวานตายไปแล้วตอนที่เกิดอุบัติเหตุรถทัวร์ตกเหวไง รถมอเตอร์ไซค์ที่เธอขับถูกรถทัวร์พุ่งเข้าชนแล้วลากตกเหวไปด้วยกันตอนที่กำลังขี่รถกลับบ้านก่อนเอ็งจะมาไม่นานนี่เอง” หนุ่มเล่าเรื่องของน้ำหวานให้เขาฟังเสียยาวเหยียด

ระหว่างที่พีรพลนั่งนิ่งอึ้งขนลุกซู่นึกไม่ถึงว่าเพื่อนเก่าสมัยประถมจะมาต้อนรับขับสู้กันตั้งแต่เขายังมาไม่ถึง ทั้งอุตส่าห์นั่งรถเป็นเพื่อนคุยกันมาตลอดทางนั้น พอดีกับลุงมีคนขับรถสองแถวคันที่เขาโดยสารมากับน้ำหวานเมื่อคืนก็ขับรถเข้ามาจอดที่หน้าร้าน พอเห็นหน้าพีรพลแกก็รีบระร่ำระลักบอกว่า

“เฮ้ย ไอ้หนุ่ม เมื่อคืนข้าไม่ได้ตะโกนบอกให้เอ็งลงหรอก ข้าบอกไอ้พวกที่ขอติดรถมาลงที่หน้าวัดต่างหาก เมื่อคืนมันโบกให้จอดแล้วขอมาด้วย ข้าไม่ได้อยากจอดเลยแต่รถมันดับเองอยู่ตรงนั้น” ลุงมีแกเล่าให้เขาฟังเป็นฉากๆ
“ก็ไม่เห็นมีใครขึ้นมานี่ครับลุง พอน้ำหวานลงไปผมก็นั่งคนเดียวมาจนลงที่หน้าปากซอยบ้านนั่นแหละ” เขาตอบเสียงสั่นใจไม่ค่อยดี
“ห๊าาาา .. นังหวานลูกครูบุษบาน่ะเหรอ .. มันนั่งมาด้วยเหรอ ..?” ลุงมีอุทานเสียงหลง
“มิน่าล่ะ รถของข้าถึงไปดับอยู่หน้าอนามัย ไอ่พวกนั้นก็เลยมาขอติดรถไปด้วย” แกเล่าด้วยเสียงกระเส่า
“เออ ข้ายังเห็นเศษกระโปรงดำแบบนักศึกษาสีซีดๆ ขาดติดอยู่ที่เบาะนั่งข้างๆ ที่เอ็งนั่งด้วยล่ะ” แกพูดพลางสีหน้าเริ่มวิตกมากขึ้น
“พวกไหนล่ะลุง ฉันไม่เห็นมีใครขึ้นมาเลยสักคน” พีรพลถามด้วยความกลัวสีหน้าก็เริ่มซีดเผือด
“ก็พวกที่มารถคว่ำตกเหวตายทั้งคันตรงโค้งลงเขาก่อนถึงหมู่บ้านเราเมื่อสองอาทิตย์ก่อนน่ะสิ เนื้อตัวแต่ละคนเลือดเกรอะกรัง บางคนเริ่มเน่าเฟะน้ำเหลืองไหลเยิ้ม บางคนคอหักพับอยู่ข้างตัวตาเหลือกถลนน่าเกลียดน่ากลัว ข้าแอบมองผ่านทางกระจกส่องหลังก็เห็นพวกมันนั่งเบียดอยู่กับเอ็ง ยังนึกสงสัยว่าเอ็งมีของดีอะไรถึงไม่กลัวพวกมันซะอีก” แกเล่าต่อ
“ไม่ว่าข้าเร่งเครื่องยังไงรถมันก็วิ่งไม่ค่อยจะไหว ก็มันขึ้นมาซะแน่นเอี้ยดเต็มคันแบบนั้น พอผ่านหน้าวัดข้าเลยตะโกนไล่พวกมันลงไปอย่างที่เอ็งได้ยินนั่นแหละ สงสัยต้องเอารถไปให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ล้างซวยเสียหน่อยแล้ว” ลุงมีทิ้งท้ายด้วยเสียงสั่นๆ พร้อมยกโอเลี้ยงดูดทีเดียวหมดแก้ว

พีรพลก็ฉุกคิดได้ว่า หรือน้ำหวานจะไม่ได้แค่มานั่งเป็นเพื่อนคุยตลอดทาง เธอยังช่วยบังตาเขาไม่ให้ถูกพวกวิญญาณตายโหงเหล่านั้นหลอกหลอนเอา แถมยังอุตส่าห์เดินตามไปส่งจนถึงบ้านอีกด้วย

“ขอบคุณนะน้ำหวานที่ยังจำกันได้ ขอบคุณยังคิดถึงและเป็นห่วงกัน” พีรพลตั้งจิตคิดขอบคุณเพื่อนเก่าจากในใจ

 

 

--- นายเมษา ---
วันอาทิตย์ 20 เมษายน 2557; 22:41 น.

วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

เรื่องสั้นลำดับที่ 1 : เค้ากลับมา .. ตามสัญญา ..


Picture by http://www.dailynews.co.th

วิชิต โปรแกรมเมอร์หนุ่มร่างท้วมเรียนจบวิทย์-คอมฯ จากมหา'ลัยมีชื่อย่านหัวหมาก แต่งงานแล้วมีลูกสาวน่ารักคนนึง ที่บ้านมีฐานะดีถึงดีมาก เข้ามาทำงานกับทีมของผมเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ในเม็กกะโปรเจ็คมูลค่าเฉียดล้านกับการพัฒนาเวบไซต์หลายภาษาของบริษัทมหาชนค้าน้ำมันข้ามชาติ เค้าจะมีความชำนาญมากๆ กับการเขียนจาวาสคริปรวมถึงเจคิวรี่ซึ่งใช้เป็นส่วนติดต่อกับผู้ใช้แบบอินเตอร์แอ็กทีฟที่ผมให้ความสำคัญสูงสุด จึงทำให้ผมกับวิชิตสนิทสนมกันมากเพราะบางครั้งต้องอยู่ทำงานด้วยกันที่ออฟฟิศจนดึกจนดื่น ผมก็จะขับรถไปส่งน้องเค้าที่คอนโดหรูย่านพระรามเก้า ทั้งที่มีรถหรูราคาแพงแต่น้องเค้าก็ชอบใช้บริการรถสาธารณะในการเดินทางมากกว่า ถึงจะรู้จักและร่วมทีมกันมาแค่ประมาณเดือนเศษผมก็รู้สึกถูกชะตากับวิชิตอย่างบอกไม่ถูก ประกอบกับวิชิตเป็นคนที่ละเอียดถี่ถ้วน ความผิดพลาดในการเขียนสคริปโปรแกรมมีน้อย ทำให้โปรเจ็คดำเนินไปได้ด้วยดีและรวดเร็ว จึงเป็นเหมือนน้องชายคนโปรดของผมเลยทีเดียว

ประมาณกลางเดือนมกราคม ผมก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนล้าของวิชิตที่ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผิดพลาดกับสคริปง่ายๆ ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับโปรแกรมเมอร์อย่างเค้า ผมเลยบอกน้องไปว่า
"ถ้าเหนื่อยหรือเครียดนักก็ไปเที่ยวพักผ่อนซัก 3-4 วันก่อนก็ได้นะ ปีใหม่ยังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยไม่ใช่เหรอ? ลองพาแฟนกับลูกไปเที่ยวซักหน่อยก็ดีนะ” วิชิตพยักหน้ารับคำแต่แววตาดูไม่ดีเท่าไหร่
สุดสัปดาห์นั้นวิชิตโทรเข้ามาบอกผมว่า เค้าจะกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่โคราชซักหน่อย แล้วก็จะขับเลยไปแวะนอนเล่นรับโอโซนดีๆ ที่วังน้ำเขียวซักคืนสองคืน และจะกลับมาทำงานในวันพุธ ผมก็ยังกระเซ้าว่าเที่ยวเผื่อพี่ด้วยนะ แล้วอย่าลืมซื้อแหนมกระดูกหมูมาฝากด้วยล่ะ เค้าก็รับคำเป็นอย่างดี

เย็นวันอังคารหลังจากประชุมเครียดเพื่อรับบรีฟเพิ่มเติมจากลูกค้าแล้ว ผมก็กลับไปนั่งดีบักโปรแกรมไปตามปกติ ซึ่งเย็นนั้นฝนเจ้ากรรมก็เทลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาราวกับฟ้ารั่วหลังจากที่อัดอั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝนกันมาตั้งแต่เช้า ผมยังคิดว่าฝนอะไรหนอช่างมาตกในหน้าหนาว และเมื่อใดที่ฝนตกในกรุงเทพฯ แล้วยังตกในช่วงเวลาที่กำลังเลิกงานเช่นนี้ด้วยแล้ว การจราจรบริเวณออฟฟิศของผมก็จะกลายเป็นจราจลไปในพริบตา เลยตัดสินใจว่าอยู่ทำงานดึกอีกสักวันน่าจะดีกว่านะ แม่บ้านของออฟฟิศมาบอกว่าจะกลับแล้วเดี๋ยวมืด ทั้งออฟฟิศก็เลยเหลือผมอยู่คนเดียวซึ่งก็เป็นแบบนี้อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว


Picture by http://thaicss.com

ระหว่างนั่งรอดีบักโปรแกรม ก็สอดส่ายสายตาลอดมู่ลี่ปรับแสงผ่านกระจกใสบานใหญ่ออกไปข้างนอกหน้าต่าง แลเห็นแสงไฟวาววับระยิบระยับของมหานครใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ในยามค่ำคืนจากมุมสูงของชั้นที่ 18 อันเป็นที่ตั้งของออฟฟิศผม มันช่างงดงามเสียนี่กระไร มีไม่บ่อยครั้งนักที่ผมจะได้มานั่งทอดอารมณ์ชมวิวแบบชิลๆ แบบนี้จนเผลอเคลิ้มหลับไปตั้งแต่ไม่ไหร่ไม่รู้
แต่ก็ต้องตกใจตื่นขึ้นมาเพราะเหมือนกับมีเสียงกระซิบในความฝันบอกว่า
"พี่ต้อม .. พี่ต้อม .. ตื่นเถอะพี่ .. ตื่นเร็วๆ .."
ผมลืมตาขึ้นมาเห็นควันจางๆ อยู่ในครัว จึงรีบลุกไปดูปรากฎว่ากระติกน้ำร้อนที่ผมเสียบไว้เผื่อจะได้ชงกาแฟกินแก้ง่วงช่วงทำงานดึกๆ มันช๊อตแต่ยังไม่ติดเป็นเปลวไฟ ผมก็ตื่นมาเห็นซะก่อน ต้องถือว่าเป็นโชคดีของผมไม่เช่นนั้นแล้วเรื่องนี้อาจจะจบไม่สวย ก็เลยคิดว่าสงสัยวันนี้เห็นทีฤกษ์จะไม่งามยามจะไม่ดีซะแล้ว น่าจะกลับบ้านไปนอนก่อนดีกว่านะเรา

เช้าวันต่อมาผมเข้าไปที่ออฟฟิศ พอเจอหน้ากัน แม่บ้านก็ถามผมว่า
"คุณต้อมซื้อแหนมกระดูกหมูมาใส่ตู้เย็นไว้เหรอ?"
"เปล่านะ เมื่อคืนวานกระติกน้ำร้อนมันช็อตเกือบไหม้ ผมจัดการเก็บกวาดอยู่จะออกไปซื้อตอนไหนกันล่ะ?" ผมตอบไปแบบงงๆ ก็พลันนึกไปว่าสงสัยวิชิตจะเอามาฝาก แล้วเจ้าตัวอยู่ไหนล่ะ? มีงานจะให้ช่วยทำเยอะแยะเลย ผมเลยเอ่ยปากถามหาน้องชายคนโปรดของผม
"น้องวิชิตยังไม่มาค่ะ เมื่อเช้าตอนที่ป้ามาถึง ออฟฟิศยังปิดอยู่เลยค่ะ ป้าเป็นคนเปิดประตูเองกับมือเลยนะคะ" แม่บ้านตอบแบบสงสัย


Picture by http://www.seanogle.com

ผมเองก็งงแต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ พลันเดินไปดูที่เครื่องคอมฯ ของวิชิต ก็พบว่าเครื่องไม่ได้ถูกเปิด ก็แสดงว่ายังไม่ได้มาทำงานจริงๆ เลยกลับไปที่โต๊ะทำงานของผมเพื่อเริ่มงานสำหรับวันนี้ พลันเหลือบไปเห็นเอสดีการ์ดเสียบคาอยู่ที่เครื่องคอมฯ ก็ แปลกใจอยู่เหมือนกันเพราะช่วงนี้ผมไม่ได้ออกไปเที่ยวถ่ายรูปที่ไหนเลย ด้วยเหตุที่โปรเจ็คยังคั่งค้างอยู่ ผมก็ไม่น่าจะเอาเอสดีการ์ดมาเสียบแล้วลืมคาไว้ในสล็อตอย่างนั้น และอีกอย่างนึงเอสดีการ์ดใบนี้ก็หน้าตาไม่คุ้นเลยเหมือนกับไม่ใช่ของผม เลยหยิบออกมาใส่ลิ้นชักไว้ก่อนค่อยสอบถามว่าใครเอามาเปิดดูที่เครื่องคอมฯ ของผม วันนั้นทีมงานก็ทำงานกันไปตามปกติ แต่ที่ไม่ ปกติก็คือไม่เห็นวี่แววของวิชิตจะมาทำงานเลย ก็ได้แต่คิดไปว่าน้องคงเดินทางเหนื่อยเลยอาจจะขอพักอีกซักวัน

คืนนั้นผมยังคงอยู่ที่ออฟฟิศเพื่อทำงานดึกอีกเช่นเคย แต่จู่ๆ ผมก็ได้กลิ่นแหนมกระดูกหมูทอดหอมหวลชวนชิมโชยมาเข้าจมูก แต่ก็เอะใจนึกได้ว่าในออฟฟิศของเรามันไม่มีกระทะไม่มีน้ำมันมีแต่เตาไมโครเวฟจะทอดได้ยังไงกันล่ะ เดินเข้าไปดูในครัวก็ไม่เห็นมีใครอยู่ แม่บ้านก็กลับไปตั้งแต่เย็นแล้ว เดินกลับมาก็เห็นเครื่องคอมฯ ของวิชิตถูกเปิดเอาไว้ สงสัยเครื่องจะถูกแสตนด์บายเอาไว้ตั้งหลายวันแล้วพร้อมกับหน้าจอสคริปโปรแกรมที่โชว์ค้างอยู่ เลยสั่งเซฟโปรแกรมแล้ว ชัทดาวน์เครื่อง แต่เครื่องก็ยังไม่ยอมปิดตัวเองลงซักที เหมือนมีบางโปรแกรมแฮงค์อยู่เลยปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นให้ระบบมันปิดตัวเองไปทีละโปรแกรมดีกว่า

พอกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานด้วยความสงสัยในหลายเรื่องราวแปลกๆ ช่วงสองวันนี้ก็เลยเอาเอสดีการ์ดอันนั้นมาเปิดดู มีไฟล์รูปภาพเป็นร้อยภาพแต่ดูเหมือนไฟล์จะติดไวรัสทำให้รูปภาพส่วนใหญ่เสียหาย จะดูได้ก็เป็นบางภาพแต่ก็ขาดๆ หายๆ จนดูไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร ผมก็นั่งคลิ๊กดูไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงท้ายๆ ก็มีภาพที่ดีๆ พอดูได้อยู่บ้าง มันเป็นภาพของอุบัติเหตุที่รถชนกันวินาศสันตะโร 10 คัน บนถนนมิตรภาพ กม.36 ช่วงทางลงมอกลางดงหน้า อสค . ซึ่งผมเองก็เห็นผ่านตามาบ้างในเฟซบุ๊คล้วก็ในข่าวหลายๆ ช่อง แต่ไม่ได้ให้สนใจซักเท่าไหร่


อ่านได้ตามลิ้งค์นี้ http://www.dailynews.co.th/Content/crime/159572/ชนวินาศถนนมิตรภาพ9คันไฟลุกคลอกตาย5ศพ

พลันสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับภาพซากรถที่ถูกไฟไหม้จนเสียหายหมดทั้งคัน ในเนื้อข่าวบอกว่าเป็นรถบีเอ็มดับเบิ้ลยู ผมก็ใจหายวูบ รู้สึกเย็นวาบที่กลางสันหลังขนลุกชันมาถึงหลังหัว นั่งนิ่งตัวเกร็งคอแห้งผากปากชาขึ้นมาทันใด พร้อมกับรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาวิชิตในทันที ในใจก็ภาวนาขออย่าให้ลางสังหรณ์ของผมเป็นจริงเลยนะ ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก ผมพยายามโทรอีกหลายครั้งก็ยังคงเป็นเช่นเดิม โทรไปที่บ้านก็ไม่มีคนรับสายอีกเหมือนกัน ระหว่างที่พยายามโทรอยู่นั้นก็มีสายเรียกเข้ามาเป็นเบอร์แลนด์ไลน์ต่างจังหวัดผมกดรับสาย
"สวัสดีครับ ขอสายคุณต้อมครับ” เสียงดังจากปลายสายถามด้วยเสียงนิ่งๆ
"ครับผม กำลังพูดอยู่ครับ" ผมตอบไป
"ผมเป็นพ่อของวิชิตนะครับ จะโทรมาแจ้งว่าวิชิตประสบอุบัติเหตุที่กลางดงเสียชีวิตทั้งครอบครัวเมื่อค่ำวันเสาร์ที่ผ่านมา พรุ่งนี้จะทำบุญที่วัดอยากจะเรียนเชิญคุณต้อมครับ” เสียงจากปลายสายเริ่มสั่นเครือ
ผมตอบรับคุณพ่อของวิชิตแล้ววางสายพร้อมกับยืนนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่รู้สึกเหมือนกับโลกดับลงชั่วขณะ


Picture by http://board.postjung.com

ทุกเรื่องราวแปลกๆ ในช่วงสองวันนี้ก็เริ่มปะติดปะต่อเข้าหากันได้อย่างชัดเจนขึ้นมาในมโนภาพของผม ผมยังรู้สึกตัวอยู่ไม่ได้ฝันไป ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อว่านี่มันเป็นเรื่องจริง ผมหันกลับมาดูภาพบนหน้าจอที่ดูค้างอยู่อีกครั้ง พร้อมทั้งเลื่อนย้อนกลับไปดูไฟล์ช่วงต้นๆ ที่เสียอยู่ในตอนแรก แต่ตอนนี้กลับดูได้แล้ว มันเป็นภาพของวิชิตกับครอบครัวถ่ายไว้ที่วังน้ำเขียวเคียงคู่กับรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูคันเก่งของวิชิต ผมก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมผมถึงได้ยินเสียงกระซิบ? ทำไมผมถึงได้กลิ่นแหนมกระดูกหมูทอด? และทำไมถึงมีเอสดีการ์ดเสียบคาอยู่ที่เครื่องคอมฯ? วิชิตได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับผมแล้ว

เอาล่ะผมเองก็คงได้เวลากลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปงานสวดอภิธรรมของครอบครัววิชิตที่โคราชในวันพรุ่งนี้เช่นกัน และก่อนที่จะออกจากออฟฟิศก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยปากบอกกับวิชิตว่า
"พี่ได้รับของฝากแล้ว ขอบคุณที่เที่ยวเผื่อพี่แล้วเอารูปมาให้ดูนะ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องโปรเจ็คหรอก แล้วก็เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะเข้าไปที่วัดไปงานของวิชิตนะ"

ผมปิดไฟดวงสุดท้ายในออฟฟิศ พร้อมกันกับเครื่องคอมฯ ของวิชิตก็ดับลงไปพร้อมๆ กัน

 

หมายเหตุ : เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งเติมขึ้นจากจินตนาการไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เพียงอ้างอิงมาจากเนื้อหาของ ข่าวที่ถูกนำเสนอต่อสาธารณะเท่านั้น ชื่อบุคคลและสถานที่ต่างๆ ในเรื่องเป็นเพียงชื่อที่ถูกสมมติขึ้นทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ต่อผู้สูญเสียแต่ประการใด

 

 

--- นายเมษา ---
5 กุมภาพันธ์ 2556

 

 

 

 

Remark :

เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกที่เขียนส่งงานในวิชาหลักการเขียนเชิงวารสารศาสตร์สำหรับสื่อประสม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 แต่เก็บไว้ใน Google Drive เท่านั้นไม่ได้เผยแพร่ที่อื่น โอกาสนี้จึงขอนำมารวบรวมไว้ด้วยกันที่นี่เพื่อความสะดวกในการค้นหาต่อไป

มหาวิทยาลัยรามคำแหง
วิชา MJR2202 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555
จัดทำโดย นายจิตตพล ทรงสว่าง เลขประจำตัวนักศึกษา 5454500207 คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน

วันอังคารที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2557

เป้าหมายมีไว้พุ่งชน ..


Picture by http://www.todayza.com

เอี๊ยดดดดด .. โครมมมมม .. คร่อก .. กึก .. กึก .. เสียงล้อรถที่บดทับผ่านร่างเล็กๆ จนได้ยินกระดูกแตกดังเปรี๊ยะ มันบาดลึกความรู้สึกของคนที่เห็นเหตุการณ์ ร่างนั้นกระตุกดิ้นพราดทุรนทุรายอย่างน่าเวทนาอยู่ไม่กี่ที เพียงชั่วไม่กี่อึดใจตาทั้งสองก็เหลือกค้าง ลิ้นจุกปาก เลือดสีดำเป็นลิ่มๆ เริ่มไหลทะลักจากทวารทั้งห้า นั่นคงเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของเธอ ในที่สุดความตายก็เข้ามาพรากช่วงชีวิตที่ดีๆ ของทั้งสองให้ต้องจากกันตลอดกาล เพียงเพราะรถเก๋งสปอร์ตสีดำราคาหลายล้านคันนั้นกับรอยบุบขนาดใหญ่ด้านหน้าห้อตะบึงราวกับหนีใครมาอย่างไม่ได้ยั้งคิดว่านี่มันเป็นเพียงซอยเล็กในหมู่บ้านเท่านั้น

เมื่อก่อนมันก็เป็นเพียงเส้นทางที่ใช้เลี่ยงรถติดบนถนนใหญ่ที่ใช้เฉพาะบางคนที่รู้กันในกลุ่มเล็กๆ เท่านั้นถึงจะเข้ามาใช้ขับผ่านกันไปมา แต่หลังจากเมืองหลวงได้เติบโตขึ้น จึงมีป้ายเขียวของทางราชการชี้ช่องบอกเส้นทางลัดจนทำให้มีปริมาณการใช้ถนนเล็กๆ เส้นนี้หนาแน่นขึ้นจนผิดหูผิดตา สวนทางกับความเป็นอยู่ที่ปลอดภัยของผู้ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน

สองหนุ่มสาวชาวอีสานที่ใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อกันแต่ผู้ใหญ่กลับไม่เห็นดีเห็นงามด้วยเพราะเจ้าหนุ่มบ้านนานั้นมันไร้ซึ่งทรัพย์วาสนา จึงต้องลักลอบพากันหนีจากบ้านทุ่งที่แร้นแค้นหวังจะเข้ามาเสี่ยงโชคในเมืองหลวง อาศัยหลบขึ้นรถไฟมาในตู้ขนสัมภาระร่อนเร่ข้ามวันคืนที่โหดร้ายมาด้วยกัน เคยแทบจะหยุดหายใจหลบซุกอย่างเงียบเชียบที่สุดอยู่ในซอกหลืบแคบๆ ที่เหม็นอับจนสุดจะบรรยายเมื่อคราวได้ยินเสียงฝีเท้าของเจ้าหน้าที่รถไฟที่เดินเข้ามาคอยตรวจตราสัมภาระคืนละหลายต่อหลายครั้ง ทั้งสองนอนหมอบแน่นิ่งเหงื่อกาฬเม็ดเป้งไหลทะลักโทรมหน้าเมื่อมองลอดช่องเล็กๆ ใต้กองสัมภาระ เมื่อได้เห็นรองเท้าหนังมันแว๊บคู่นั้นเดินเข้ามาหยุดอยู่แทบจะตรงหน้า หัวใจเต้นรัวราวกับกลองเพลที่เคยได้ยินจากวัดในหมู่บ้าน ลุ้นกันแทบจะหยุดหายใจว่าจะถูกเจอตัวแล้วจับโยนลงไปที่สถานีไหน


Picture by http://www.chaoprayanews.com

แต่จนแล้วจนรอดเมื่อโชคชะตายังเห็นใจ ทั้งสองก็ระหกระเหินเดินทางมาถึงสถานีปลายทางที่หัวลำโพงจนได้ โดยไม่ต้องถูกตะเพิดลงกลางทางไปซะก่อน ทั้งคู่ออกเดินเคว้งคว้างอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน เพราะไม่เคยมีญาติหรือใครที่รู้จักอยู่ในเมืองหลวงที่แสนวุ่นวายแห่งนี้เสียด้วย


Picture by http://province.iblogger.org

มันเป็นเวลาช่วงเช้าของวันทำงานกลางสัปดาห์ บริเวณด้านหน้าสถานีหัวลำโพงจึงอื้ออึงไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจทั้งเสียงโชเฟอร์แท็กซี่ที่ตะโกนโหวกเหวกรุมแย่งผู้โดยสารราวกับฝูงหมาจิ้งจอกรุมทึ้งลูกแกะผู้โชคร้าย เสียงพ่อค้าแม่ขายที่ต่างพยายามยัดเยียดขายสินค้าของตน เสียงบีบแตรรถที่ดังติดต่อกันไม่ขาดสาย ความสับสนอลหม่านของผู้คนมากมายที่รีบเร่งก้าวเดินข้ามถนนจนไม่มีใครสนใจจะช่วยเหลือคนอื่นที่ด้อยโอกาสอย่างคนชรา ที่ต้องพาสังขารอันทรุดโทรมเพราะผ่านกาลเวลามานานนมกระย่องกระแย่งข้ามผ่านแต่ละแยกอย่างทุลักทุเลเพื่อจะเข้าไปตักบาตรที่วัดชื่อดังที่อยู่ใกล้ๆ นั้น ตามมาด้วยเสียงแตรดังยาวแสดงความไม่พอใจทั้งที่สัญญาณไฟก็ยังไม่เขียวเสียหน่อย พร้อมกับออกรถอย่างกระแทกกระทั้นตามด้วยเสียงสบถด่าตามหลังผู่เฒ่าด้วยวาจาหยาบคายอย่างไม่สบอารมณ์ของคนขับรถคันนั้น


Picture by http://static.panoramio.com

สองผัวเมียเดินตุปัดตุเป๋ไปตามทางเดินแคบๆ อย่างไร้จุดหมาย ผ่านร้านขายข้าวราดแกงรถเข็นที่จอดอยู่ข้างถนน จมูกดีๆ ของทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอาหารที่หอมหวนชวนชิมจากแกงหลายชนิดบนรถเข็นนั่น แต่ติดอยู่ที่ทั้งคู่ไม่มีเงินติดตัวเลยแม้สักแดงเดียว สัญชาตญาณความหิวทำให้ตัดสินใจกระทำเรื่องผิดศีลธรรมด้วยการขโมยอาหารเพื่อจะเอามาประทังชีวิต แต่สุดท้ายแล้วก็ไปไม่รอดถูกจับได้เสียก่อน เจ้าของร้านกระหน่ำตีด้วยตะหลิวในมืออย่างไม่ยั้ง แต่ก็นับว่ายังโชคดีที่มีคุณยายใจบุญกับหลานสาวแสนสวยมาช่วยเอาไว้ไม่ต้องไปติดคุกติดตะราง อาจจะด้วยแววตาอันใสซื่อหน้าตาบ้านๆ ของทั้งสอง และบุญบารมีของหลวงพ่อที่วัดข้างบ้านอันเป็นสถานที่สาบานรักของทั้งสองละมั๊ง ที่ช่วยดลใจให้คุณยายเมตตาสงสารเลยพาไปอยู่ที่บ้านโดยไม่ต้องเอ่ยปากถามความเป็นมาแต่อย่างใด และแล้วสองชีวิตก็ได้ย้ายตัวเองเข้ามาสู่นิวาสสถานแห่งแรกในเมืองหลวงย่านซอยสุขุมวิท 55 หรือที่รู้จักกันในชื่อซอยทองหล่อ อันเป็นที่พำนักพักอาศัยของสามีชาวต่างชาติกับคุณแม่ยังสาวของหลานสาวคนสวยของคุณยายผู้ใจดีนั่นเอง


Picture by http://www.thinkofliving.com

บ้านหลังใหญ่ในซอยแคบๆ ขนาดที่ว่ารถเก๋งขนาดอีโคคาร์คันเล็กกระจิ๊ดริดวิ่งสวนยังแทบจะเบียดกันให้สีถลอกได้ง่ายๆ ถ้าหากไม่ชะลอความเร็วลงเพื่อหลบเลี่ยงให้พ้นกัน แต่นั่นก็ถูกใช้เป็นเส้นทางลัดเพื่อหลีกหนีการจราจรที่ติดหนักสาหัสสากรรจ์ของถนนเพชรบุรีตัดใหม่และถนนสุขุมวิทในช่วงเวลาเช้าหรือเย็นได้เป็นอย่างดี ทั้งผู้ใช้เส้นทางที่ขับรถผ่านไปมาเป็นประจำ ทั้งรถแท็กซี่ที่วิ่งกันขวักไขว่รวมไปถึงรถหรูคันงามของเหล่าเศรษฐีระดับประเทศหลายคนที่เป็นเจ้าของบ้านหลังใหญ่ๆ อีกหลายหลังในซอยนี้ กอรปกับบรรดาเหล่าจักรยานยนต์รับจ้างที่ขับย้อนศรสวนในช่องทางวิ่งไปมาแบบคิดจะไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น ก็เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้การจราจรในซอยแคบๆ แห่งนี้ไม่เคยนิ่งเงียบเกินกว่าห้านาทีแม้สักครั้งเดียว

ตำแหน่งงานใหม่ของไอ้เผือกหนุ่มบ้านทุ่งในบ้านหลังใหญ่นี่ก็คือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่มีหน้าที่สำคัญคือคอยดูแลตรวจตราสอดส่องความผิดปกติภายในบริเวณบ้านไม่ให้คนแปลกหน้าเข้า-ออกโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยหากเกิดเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์ให้รีบวิ่งไปรายงานต่อหัวหน้าคือหลานสาวคนสวยโดยทันท่วงที เพราะระบบต่างๆ ทั้งการเปิด-ปิดประตูหรืออื่นๆ จะถูกควบคุมด้วยรีโมททั้งสิ้น อันเป็นเรื่องที่เกินกว่าไอ้เผือกที่ไม่มีโอกาสได้ร่ำเรียนมาจะทำได้ ส่วนของนางแดงที่ตั้งท้องอ่อนๆ อยู่ก็เลยไม่ได้มีงานหลักเป็นชิ้นเป็นอันนัก แต่ก็ยังได้ช่วยงานพี่เพ็ญที่เป็นเมดประจำบ้าน เช่น ลากตะกร้าผ้าไปที่ราวเพื่อให้พี่เพ็ญตากบ้าง เอาขยะไปทิ้งที่ถังขยะหน้าบ้านบ้าง ช่วยงานในหน้าที่ของไอ้เผือกผู้เป็นสามีในการสอดส่องดูแลบ้านอีกแรงหนึ่งตามกำลังที่พอจะทำได้บ้าง

แม้จะเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ไม่นานทั้งสองก็ได้สร้างวีรกรรมอันน่าชื่นชมในการช่วยกันจับขโมยที่แอบปีนเข้ามาในยามดึกดื่นของค่ำคืนหนึ่งไว้ได้ โดยครั้งนั้นไอ้เผือกเกือบเอาชีวิตไม่รอดหลังจากที่โดยคนร้ายหวดเอาจนขาหัก หัวหูแตกเป็นแผลเหวอะหวะจนเลือดไหลโทรมทั่วร่างแต่ก็ยังกัดฟันสู้ยิบตาจนสามารถเอาตัวคนร้ายส่งตำรวจได้ ส่วนตัวไอ้เผือกก็ต้องย้ายนิวาสถานเป็นการชั่วคราวไปนอนซมอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่เกือบหนึ่งอาทิตย์ แล้วจึงได้รับอนุญาตให้กลับมารักษาตัวที่บ้านต่ออีกร่วมเดือน พร้อมทั้งหัวใจที่อยากกลับมาทำหน้าที่ของตัวเองเพื่อคอยปกป้องคุณยายและคุณหนูของบ้านนี้เป็นการทดแทนบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตตัวเองและเมียรักเมื่อครั้งที่เข้ากรุงมาใหม่ๆ ส่วนด้านของนางแดงครั้งนั้นก็เจ็บตัวไม่แพ้กัน นอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่หลายวันทีเดียว จากวีรกรรมในครั้งนั้นจึงทำให้ทั้งสองกลายเป็นกำลังสำคัญในการดูแลความปลอดภัยของทุกคนในบ้านตลอดมาจนกระทั่งเรื่องราวไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ...


Picture by http://www.innnews.co.th

หลังจากเทศกาลสงกรานต์อันเป็นประเพณีรื่นเริงสนุกสนานเก่าแก่ดั้งเดิมสืบทอดกันมายาวนานหลายชั่วอายุคนของไทยที่มีต่างชาติสันดานขี้โกงแอบโขมยไอเดียเอาไปจัดให้เป็นงานใหญ่เพื่อโปรโมทประเทศตัวเอง ทั้งที่วัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมของตัวเองนั้นก็ไม่เคยมีเทศกาลสงกรานต์แบบนี้มาก่อนเลยในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ได้รับอิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมของชาติมหาอำนาจจนได้ก่อตั้งเป็นประเทศหนึ่งขึ้นมาบนโลกใบนี้ แต่ก็ยังจะกระแดะอยากจะจัดสงกรานต์กับเค้าบ้าง ทั้งๆ ที่น้ำที่จะดื่มจะกินเข้าไปยังราคาแพงยิ่งกว่าน้ำมันเสียอีก

วันนี้เป็นวันพุธกลางเดือนเมษายนที่ร้อนระอุ ควันหลงจากสงกรานต์ยังไม่จางหาย พื้นถนนบางช่วงยังเจิ่งนองไปด้วยน้ำแต่เมืองหลวงก็กำลังกลับคืนสู่ชีวิตอันวุ่นวายอีกครั้ง ในซอยบ้านของคุณยายก็เช่นกัน รถราเริ่มเพิ่มปริมาณมากขึ้นหลังจากอยู่อย่างสงบสุขในช่วงสงกรานต์มาได้สัก 5 วัน และกำลังจะเข้าสู่การจราจรที่เป็นจราจลของช่วงเช้าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ผู้คนที่กลับไปเยี่ยมเยียนพ่อแก่แม่เฒ่าที่ภูมิลำเนาเดิมอันเคยเป็นถิ่นฐานบ้านเกิดที่เคยพำนักพักอาศัยมาแต่ยังเป็นเด็กน้อยก็พากันทยอยกลับเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อให้ทันกับการเริ่มงานในวันรุ่งขึ้น ไอ้เผือกกับนางแดงไม่ได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเฉกเช่นคนอื่นเขาเพราะผู้ใหญ่คงไม่ปลื้มที่พากันหนีมาโดยไม่ได้บอกกล่าวผู้ใด จึงได้แต่ทุ่มใจฝากชีวิตเอาไว้กับงานรักษาความปลอดภัยให้กับเจ้าของบ้านหลังใหญ่ผู้มีพระคุณแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

วันนี้ก็เช่นกันคุณยายกับคุณหนูออกไปข้างนอก ส่วนนางแดงก็ยังคงทำเหมือนเช่นทุกวันที่พยุงเอาร่างที่เริ่มจะอุ้ยอ้ายขึ้นเล็กน้อยลากเอาถุงขยะสีดำใบเขื่องไปพร้อมกับพี่เพ็ญเพื่อเอาไปทิ้งยังถังขยะสีเขียวของทางราชการที่ตั้งอยู่หัวมุมริมสุดรั้วบ้าน โดยมีไอ้เผือกคอยยืนดูเมียรักลากถุงขยะพ้นไปจากหน้าประตูบ้าน ส่วนตัวเองก็คอยเฝ้าจับตาสังเกตดูแลความปลอดภัยอยู่ห่างๆ เช่นปกติทุกวัน พี่เพ็ญกำลังเปิดฝาถังขยะแล้วหยิบถุงขยะที่นางแดงลากมาและอีกถุงใหญ่ที่ถือมาเองใส่ลงไปอยู่นั้น แต่ด้วยสัญชาตญาณนางแดงเริ่มสัมผัสได้ถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา

รถเก๋งสีดำคันใหญ่ของเศรษฐีในซอยวิ่งห้อตะบึงมาอย่างเร็ว เสียงล้อบดเบียดกับพื้นถนนดังเอี๊ยดอ๊าดระคนกับเสียงท่อไอเสียดังครืนๆ สนั่นหวั่นไหวราวกับฟ้าร้อง เสียงเครื่องยนต์บล็อคตัววีจำนวนสิบสองสูบสี่สิบแปดวาล์วขนาดปริมาตรความจุกระบอกสูบห้าพันสองร้อยซีซีที่อัดแน่นไปด้วยแรงม้ากว่าห้าร้อยตัวส่งเสียงคำรามกระหึ่มดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ อาการของรถที่ฉวัดเฉวียนส่ายไปมาราวกับงูเลื้อยบ่งบอกให้เห็นว่าผู้ขับขี่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ควบคุมรถได้อีกต่อไปแล้ว ล้อแม็กซ์ขนาดสิบแปดนิ้วพร้อมกับยางแก้มเตี้ยวงใหญ่หมุนควบตะบึงปรี่เข้ามายังถังขยะที่พี่เพ็ญยืนอยู่โดยที่เธอไม่รู้สักนิดว่ามัจุราชสีดำกำลังพุ่งทะยานมาแทบจะอยู่ตรงหน้าแล้ว


Picture by http://www.atcloud.com

นางแดงเห็นท่าไม่ดีจึงเอาตัวเองวิ่งเข้าชนพี่เพ็ญเพื่อผลักให้พ้นจากวิถีอำมหิตแห่งพญามัจุราชสีดำคันนั้นซึ่งมันก็ได้ผล แต่ด้วยแรงปะทะทำให้นางแดงที่ตัวเล็กกว่าหลายเท่าพลิกกลิ้งหลุนๆ เข้ามาอยู่ในช่องทางผ่านของเพชรฆาตล้อใหญ่คันนั้น และมันก็ช้าเกินกว่าจะกลับตัวหลีกหนีได้ทันเสียแล้ว ยางฟอลเคนหน้ากว้างขอบใหญ่หมุนทับบดขยี้ร่างเล็กๆ ผ่านกลางลำตัวตามด้วยล้อหลังหมุนทับซ้ำอีกรอบ ก่อนที่เจ้ามัจุราชคันนั้นจะพุ่งทะยานผ่านเข้าไปในประตูของบ้านหลังใหญ่ฝั่งตรงข้ามที่อยู่เยื้องออกไปเล็กน้อย

ไอ้เผือกที่ยืนตาค้างกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าความตายมาพรากเมียรักและลูกในท้องไปต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ มันจึงวิ่งควบสุดกำลังไปหานางแดงที่นอนระทวยใกล้จะหมดลม ประสาทความรู้สึกสุดท้ายของชีวิตที่ได้รับรู้ว่าชายคนรักมานอนหมอบอยู่ใกล้ๆ ยื่นหน้ามาหอมเธอและลูกในท้องปริ่มว่าจะขาดใจ เลือดสีดำเป็นลิ่มๆ เริ่มทะลักออกจากปากและจมูกของเธอ เธออยากจะบอกรักกับสามีเป็นครั้งสุดท้ายแต่ก็ไม่สามารถจะเปล่งเสียงออกมาได้เพราะกระดูกซี่โครงของเธอหักทุกซี่ ทิ่มทะลุปอดจนฟองอากาศทะลักออกมาพร้อมกับเลือดสดๆ ที่เริ่มนองไปทั่วพื้น ตับและม้ามแตกทะลักออกมากองอยู่ข้างนอก ไอ่เผือกพยายามลากเมียรักเข้าไปข้างทางหน้าประตูบ้าน แล้วนอนหมอบข้างเธอจนนางแดงเริ่มกระตุกสอง-สามที จากนั้นชีวิตและสติสัมปชัญญะของเธอก็ดับวูบลงพร้อมกับวิญญาณที่ลอยออกจากร่างไปชั่วนิรันดร์ ทิ้งไว้เพียงแค่ความรักความทรงจำดีๆ ที่ทั้งสองเคยมีร่วมกันตลอดระยะเวลาไม่กี่ปีที่ได้ร่วมชีวิตฟันฝ่าทุกข์สุขมาด้วยกัน


Picture by http://news.mthai.com

ชาวบ้านแถวนั้นต่างเบือนหน้าหนีด้วยความเวทนา เพราะไม่อาจทนกลั้นน้ำตากับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ของสุนัขพันธุ์ไทยหน้าตาบ้านๆ ที่นอนหมอบเห่าหอนครวญครางดั่งว่าจะขาดใจ และยังคงคอยเลียหน้าเลียตาอีกตัวที่อยู่ในสภาพร่างที่เละเทะเกินกว่าจะเก็บได้ครบทุกชิ้น ระคนกับเสียงจอแจของผู้คนและกำลังพลของเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายต่างก็กำลังเริ่มทำงานของตัวเองอีกครั้งในซอกหลืบหนึ่งของเมืองหลวงอันวุ่นวายแห่งนี้

กับชีวิตเล็กๆ ที่ไม่มีคนเห็นค่า แต่นั่นก็คืออีกหนึ่งชีวิตที่ต้องมาสังเวยให้ความประมาทของมนุษย์ที่พยายามอุปโลกน์ยกตนเองขึ้นเป็นสัตว์ประเสริฐ หรือว่าจริงๆ แล้วสำหรับความคิดของผู้มีอันจะกินเหล่านั้น อาจจะมองเพียงแค่ว่า “เป้าหมายมีไว้พุ่งชน” แต่เพียงอย่างเดียวกันแน่นะ
 
 

--- นายเมษา ---
อังคาร 15 เม.ย.2557; 8:54 น.

วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2557

เสียงกระซิบจากตึกสูง


Picture : http://gallery.photo.net

บ่ายวันอังคารในหน้าหนาวแบบนี้ แสงแดดที่เคยร้อนระอุก็กลับดูอบอุ่นขึ้นมาทันตาจากอากาศเย็นของลมหนาวที่พัดมาแผ่วๆ ในเวลานี้ นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้สัมผัสกับอากาศหนาวในเมืองใหญ่แห่งนี้ จากชีวิตที่เร่งรีบต้องแก่งแย่งแข่งขันชิงดีชิงเด่นยื้ือแย่งช่วงชิงโอกาสและความได้เปรียบในสังคมเมืองเพื่อคุณภาพที่ดีของชีวิต 

เด็กจบใหม่จากมหาวิทยาลัยต่างๆ รวมแล้วนับแสนคนที่ก้าวพ้นจากรั้วของสถาบันอันเป็นที่บ่มเพาะความเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม ส่วนใหญ่ต้องออกมาทำวิจัยฝุ่นกันแทบทั้งนั้น หลายคนก็โชคดีได้เข้าทำงานในตำแหน่งที่มีชื่อเรียกอย่างหรูหราว่า GB=General Bae หรือรับใช้ทั่วไปในออฟฟิศที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ความสามารถที่อุตส่าห์เพียรพยายามร่ำเรียนมาตลอดสี่ปีนั้นแม้แต่น้อย แต่ก็ยอมที่จะรับตำแหน่งนี้อย่างหน้าชื่นตาบานโดยหวังว่าจะเติบโตขึ้นไปเป็น MDB=Managing Director of Bae หรือหัวหน้าเบ๊จบใหม่อีกที เป็นวงวัฏแบบนี้ต่อไปไม่รู้จบ

  
Picture : http://www.decorreport.com || http://homedesign.homedd4u.com

ออฟฟิศผมลอยอยู่บนตึกสูงที่ให้เช่าพื้นในอากาศในราคาตารางเมตรละหลายแสนบาทเพียงแค่ทำเลดีอยู่ในย่านธุรกิจ มีน้องคนหนึ่งที่บริษัทรับเข้ามาในตำแหน่ง GB ที่ผมว่านี่แหละ จบคอมพิวเตอร์มาแต่ต้องมาทำงานที่ไม่ถนัดอย่างงานบริการให้กับรุ่นซีเนียร์ที่อยู่มานานอย่างรุ่นผม แต่ด้วยค่าแรงเริ่มต้นตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยจึงยอมอดทนอยู่ให้รุ่นใหญ่โขกสับเอาทุกวันแบบนี้ไอ้เจ้าน้องคนนี้มันค่อนข้างจะสนิทสนมกับผมเป็นพิเศษเพราะเป็นศิษย์น้องจากสถาบันเดียวกัน แต่เราทั้งคู่ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อนเพราะตอนที่ผมจบออกมาเจ้านี่ยังเรียนอนุบาลอยู่เลยมั๊ง แต่ดังปราชญ์ชาวจีนท่านหนึ่งได้กล่าวไว้เมื่อพันปีก่อนว่าเลือด(แห่งสถาบัน)ย่อมเข้มข้นกว่าน้ำอำมฤต จึงเป็นเหตุให้ผมต้องกลายเป็นพี่เลี้ยง(เลี้ยงจริงๆ)ของมันไปโดยปริยาย เลี้ยงแทบทุกอย่างจริงๆ จนใครๆ ที่ออฟฟิศนึกว่าผมเริ่มเบี่ยงเบนทางเพศเข้าให้ซะแล้ว

ขอแนะนำให้รู้จักกับ ”เอก” หนุ่มน้อยหน้ามนคนขยันรุ่นน้องจากสถาบันเดียวกับผมที่ผมร่ายยาวให้ฟังกันมาหนึ่งย่อหน้าเต็มๆ เอกเป็นเด็กผู้ชายร่างเล็ก ผิวขาว ตากลมบ้องแบ๊ว ไว้ผมปรกหน้าแบบกะลาครอบแต่ไถเกรียนด้านข้างหู นี่มันทรงผมขัดใจแม่ชัดๆ ผมเคยลองถามๆ เจ้าเอกว่า “เฮ้ย..พี่ถามจริงๆ เหอะ แม่แกเค้าไม่หงุดหงิดบ้างเหรอว๊ะ เวลาเห็นผมทรงนี้ของเอ็งเนี่ย” มันตอบผมว่ายังไงรู้ไม๊ครับ “พี่รู้ป่ะว่าการไว้ผมทรงไหนเนี่ย มันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของคนทุกคนนะ รัฐธรรมนูญรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานนี้ไว้ด้วย ใครจะมาบังคับไม่ได้โดยเด็ดขาด ไม่งั้นผมจะฟ้องละเมิดนะ” ดุมันตอบสิครับ หัวหมอซะด้วยไอ้นี่ แต่ผมก็ไม่ได้ไปใส่ใจกับคำตอบแบบปัญญาชนประจำออฟฟิศของมันสักเท่าไหร่

Picture : http://ed.files-media.com

ตามประสาหนุ่มโสดอย่างผมและเพื่อนที่โสด(เฉพาะเวลาอยู่นอกบ้าน)หลายๆ คน ถึงเย็นย่ำค่ำคืนวันศุกร์ก็จะเป็นวันพักผ่อนแบบผู้ชายที่จะพากันไปอาบน้ำนวดตัวคลายเมื่อยกัน ก็จะหนีบเอาเจ้าเอกไปด้วยโดยพี่ๆ ก็จะลงขันสมนาคุณให้น้องได้ผ่อนคลายจากที่ต้องรับใช้พวกเรามาตลอดทั้งสัปดาห์ แต่ก็รู้สึกแปลกใจอยู่ว่าทำไมมันถึงได้อึกอักๆ ไม่ยอมขึ้นห้องไปกับน้องสาวคนสวยที่พี่ๆ จัดให้ กว่าจะเข็นให้มันขึ้นห้องไปได้ก็แทบจะกราบกรานกันเลย พี่ๆ ก็นึกขำอยู่ในใจว่าสงสัยไม่เคยเที่ยวมาก่อนเลยเก้ๆ กังๆ กลัวทำเสียชื่อหรือเปล่า แต่จนแล้วจนรอดก็ส่งมันเข้าประตูสวรรค์ไปได้แบบทุลักทุเลทุกครั้ง และทุกครั้งก็จะเห็นเจ้าเอกลงมานั่งรอพวกเราอยู่ข้างล่างก่อนทุกครั้งเหมือนกัน ยังคิดว่าไอ้นี่มันสิงห์ปืนไวหรือยังไงกันนะ

ชีวิตวัยหนุ่มของเจ้าเอกและชีวิตวัยรุ่น(ใหญ่)ของพวกผมก็ดำเนินต่อไปโดยราบรื่น งานโปรแกรมเมอร์ที่เจ้าเอกใฝ่ฝันอยากทำก็ยังคงไม่ได้ทำและพวกเราก็ยังคงมีกิจกรรมนวดตัวกัน 1 - 2 สัปดาห์/ครั้งต่อเนื่องเรื่อยมาจนผ่านไปเป็นปี จนกระทั่งวันนึงเจ้าเอกเดินมาบอกผมว่าสิ้นเดือนนี้จะออกแล้วเพื่อไปเรียนต่อที่เกาหลีแล้วนะ ผมยังแซวมันอยู่ว่า “เฮ่ย นี่มึงจะไปเรียนต่อหรือไปผ่าตัดทำศัลยกรรมว๊ะ .. ที่เกาหลีเนี่ยนะ ..!!!” เจ้าเอกก็บอกว่า “ไปเรียนเป็นหมอมั๊งพี่” แล้วก็หัวเราะอายๆ แล้วในวันที่เดินทางพวกพี่ๆ ยังพากันแห่ไปส่งที่สนามบินเล่นเอาร่ำลากันซะครึกครื้นเฮฮาเหมือนดีใจที่น้องไป(ซะทีก็..)ดี .. (ฮา)

เราขาดการติดต่อกับเจ้าเอกไปร่วมสองปีเพราะไม่อยากกวนใจน้องเวลาเรียน คิดว่าคงเรียนหนักเพราะเจ้าเอกก็ไม่ได้ติดต่อกลับมาเช่นกัน จนผมก็เกือบจะลืมเรื่องราวของน้องชายร่วมสถาบันคนนี้ไปแล้ว แต่มันก็มีเรื่องขึ้นมาจนได้

ค่ำวันศุกร์ของสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม ที่ออฟฟิศเรามีจัดเลี้ยงฉลองคริสต์มาสกับปีใหม่ไปพร้อมกันในงานเดียว แต่มันยังไม่ถึงวันปีใหม่ซะหน่อยยังต้องทำงานกันในวันจันทร์อีกหนึ่งวันถึงจะเริ่มหยุดยาว พวกเราดื่มกินกันที่งานเลี้ยงจนได้ที่กำลังตกลงกันอยู่ว่าจะไปต่อที่ไหน พลันเสียงโทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นฮิตไปทั่วโลกกับระบบปฏิบัติการไอเอสโอ(ระบบปฏิบัติการแห่งชาติของผู้ใหญ่กระทรวงไอทีแห่งประเทศสารขัณฑ์ .. กร๊ากกกก ..) .. เจ้าไอโฟนของผมก็แสดงหมายเลขโทรเข้าแปลกๆ ที่ไม่มีใน Contact ของเครื่องผม พอกดรับสายที่บลูทูธเสียงจากปลายสายที่คุ้นหูก็ตะโกนสวนมา “เฮ้ย ไอ้พี่ชายสุดที่รัก คิดถึงเมิงมากเลยว่ะพี่ ผมกลับมาเมืองไทยแล้วนะ” ผมจำเสียงนี้ได้ดี เจ้าเอกนั่นเองที่โทรเข้ามา ยังนึกด่ามันแบบขำๆ อยู่ในใจว่าที่มันพูดมาในสายเมื่อกี๊นี้เนี่ยตกลงมันจะเคารพผมหรือเปล่าหว่า แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเท่ากับว่าเจ้าเอกของพวกพี่ๆ ขณะนี้มันกลับมาแล้ว

 

หลังจากเสวนากันโขมงโฉงเฉงอยู่พักนึงก็ได้ความว่าคืนนี้เรานัดเจอกันที่ร้านประจำที่เคยดื่มกินกันแถวเลียบทางด่วนเวลาประมาณสี่ทุ่มเป็นอันตกลงตามนั้น พวกผมออกจากออฟฟิศแถวย่านอโศก-สุขุมวิทราวๆ สองทุ่มครึ่งได้ บุกฝ่าการจราจรของค่ำวันศุกร์สิ้นเดือนที่ดูชุลมุนวุ่นวายราวกับเกิดจราจลกว่าไปถึงร้านกับครบทุกคันก็เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว จึงพากันเข้าไปจับจองโต๊ะประจำที่พวกเราเคยมานั่งเฝ้าดูฟุตบอลอังกฤษแข่งกันในวันเสาร์แทบทุกสัปดาห์จนเด็กๆ ในร้านถามว่าพี่มีหุ้นอยู่ในทีมกันเหรอเห็นแข่งจบทีไรแบ่งตังค์กันทีละเยอะๆ ทุกทีเลย แต่วันนี้เป็นวันศุกร์มันควรจะเป็นวันที่พวกเราจะต้องไปอาบน้ำนวดตัวกันต่างหาก พอมีการเปลี่ยนกิจกรรมของชายโสดแบบนี้ ก็เลยได้แต่นั่งทอดอารมณ์สอดส่ายสายตามองหาสาวๆ สวยๆ เดินไปเดินมาสลับกับรถราที่ยังวิ่งกันขวักไขว่แม้จะล่วงเลยไปจนย่างเข้ายามดึกดื่นค่ำคืนแล้วก็เถอะ

พวกเรานั่งละเลียดวิสกี้ของบักจอห์นนี่นักเดินไปได้ครึ่งขวดลิตรแล้ว เจ้าเอกก็ยังไม่มาซักที ผิวหน้าของพวกเราก็เริ่มตึงจนจะออกด้านๆ หน่อยแล้ว จากเริ่มคุยกันเบาๆ แค่พอได้ยินกันในโต๊ะ ก็เริ่มจะเสียงดังขึ้นเพราะหูของพวกเราก็เริ่มจะอื้อๆ ได้ยินอะไรไม่ค่อยชัดเจนจนหลายโต๊ะรอบข้างเริ่มหันมาชื่นชมพวกกันงุบงิบๆ แต่ถึงหูเราจะเริ่มเสียสมรรถภาพการรับฟัง แต่สายตาของพวกเรากลับดีขึ้นเพราะมองให้อะไรได้ยาวไกลมากขึ้นแปรผกผันตามอายุที่เหลือน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ


Picture : http://www.asia-bars.com

แต่แล้วอยู่ดีๆ ผู้ชายในร้านแทบทุกคนทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มมากหรือแม้กระทั่งหนุ่ม(เหลือ)น้อยก็พร้อมใจกันเงียบกริบ อ้าปากค้างจากภาพที่ปรากฎตรงหน้า สาวสวยหน้าหวานผิวขาวร่างเล็กเพรียวเรียวระหงในชุดแซ็ครัดรูปสั้นเสมอหู สีดำผ่าข้าง ด้านหลังเว้าลึกคอกว้างผ่าลงมาจนเห็นร่องอกเผยอเนินนูนอวบอิ่มขาวใสจนแทบจะหลุดทะลักออกมาด้านนอก กับหน้าท้องที่แบนราบก็ยิ่งช่วยเสริมเน้น curve รูปตัว S ของทรวดทรวงให้โดดเด่น ทั้งส่วนนูนอวบอิ่มในส่วนที่ควรจะนูน บวกกับส่วนเว้าเข้ารูปในส่วนที่ควรจะเว้า มันยิ่งช่วยเร่งเร้าเลือดลมในกายให้พลุ่งหล่านจนแทบกระฉูดออกมาในนาทีนั้นเสียเลยเธอย่างกรายดุจนางพญาจากหน้าร้านเดินตรงมาสุดทางเลี้ยวขวาผ่านสามแยกปากหมาที่โต๊ะพวกเราเข้ามาประจำการอยู่และทิ้งตัวลงนั่งที่โต๊ะมุมด้านในสุดใกล้กับบาร์เครื่องดื่ม ผมมั่นใจว่าผู้ชาย 99.99% ที่นั่งอยู่ในร้านตอนนี้ไม่แต่เฉพาะที่มาคนเดียวนะ แม้แต่มากับแฟนหรือภรรยาคิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะครอบครองเธอสักคืนกันทุกคนแน่ๆ เพราะเห็นหลายคนเริ่มวางฟอร์มสุนัขชราภาพ(หมาแก่)เข้าไปตีสนิททักทายเลี้ยงเครื่องดื่มกันหลายคน แต่ก็หน้าละห้อยกลับมาทุกคน ไม่รู้ว่าเธอพูดอะไรไปดับฝันค้างคืนของหนุ่มน้อยใหญ่เหล่านั้นกันนะ

ผมเริ่มหันไปตีสนิทชวนเธอคุยในฐานะที่โต๊ะของเธอกับโต๊ะของเราอยู่ใกล้กัน มุมนี้เป็นมุมที่โปรดปรานของพวกเรามาตั้งแต่สมัยร้านเปิดใหม่ๆ เป็นมุมประจำของสมาชิกในการเชียร์ฟุตบอลทีมโปรด ห่างไกลสายตาคนอื่นในการส่งงบประมาณสนับสนุนเจ้าของทีมที่ชนะการแข่งในคืนนั้นๆ เธอเองก็หยิบยื่นไมตรีให้กับผมเช่นกัน เพราะอาจจะเป็นแฟนทีมหงส์ปีกหักจากย่านเมอร์ซี่ไซด์เหมือนกัน กับเสียงเพลงที่ค่อนข้างดังพอสมควรจากดีเจสาวเสียงใสในเพลงไทยสไตล์มันๆ ทำให้ฟังเสียงกันไม่ค่อยได้ยินนัก อีกทั้งหูทั้งสองข้างของผมเองก็อื้ออึงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์จากบักจอห์นนี่นักเดินที่พาช่วงเวลาดีๆ เดินมาจนเกือบหมดขวดลิตรแล้วในตอนนี้ พอจับความได้นิดหน่อยที่ว่าเธอเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศแล้วนัดเพื่อนรุ่นพี่ไว้ที่ร้านนี้ ผมเลยนึกขึ้นได้ว่านี่มันเที่ยงคืนกว่าแล้วนี่นะทำไมเจ้าเอกมันยังไม่มาซะทีล่ะ ถ้ามันจะไม่มาก็ดี คืนนี้เผื่อลูกพี่อย่างผมจะโชคดีกับเค้าบ้างก็เป็นได้ เลยให้เพื่อนในทีมงานโทรตามเจ้าเอกโดยด่วนจะได้รู้ว่าจะมาหรือเปล่า? ส่วนผมก็เอาเวลาไปนั่งคุยกับสาวสวยอย่างน้องเอลลี่ดีกว่า

ผมเหมือนคนที่ดวงกำลังขึ้นนะ จะทำอะไรก็เข้าทางไปไปซะหมด ติดต่อเจ้าเอกก็ไม่ได้เพราะตัดไปเข้าระบบฝากข้อความซะทุกครั้ง ส่วนผมก็มึนจนเข้าที่ น้องเอลลี่ก็เมาจนเข้าทางแล้ว ก็คงจะถึงเวลาเดินทางไปสู่ประตูสวรรค์ชั้นสุดยอดของเรากันเสียทีสินะ ผมกับเพื่อนๆ เดินออกจากร้านพร้อมสายตาที่หลายสิบคู่ที่ได้แต่มองอย่างสอดรู้สอดเห็นพร้อมกับรอยยิ้มมุมปากและซุบซิบกัน ผมคิดว่าคงจะอิจฉาในความโชคดีของผมที่จะได้ใช้เวลาแห่งค่ำคืนนี้กับนางฟ้าผู้เลอโฉม พวกเราแยกกันที่หน้าร้านกลับสู้บ้านใครบ้านมัน เพียงแต่คืนนี้ผมไม่ได้กลับคนเดียวเท่านั้น

Picture : http://www.poolprop.com

ซีรี่ย์เจ็ดจากเยอรมันสีดำเงาวับขับเลี้ยวเข้ามาจอดที่คอนโดสูงเสียดฟ้าริมแม่น้ำเจ้าพระยาย่านถนนพระรามสามอันเป็นนิวาสสถานพักพิงชั่วคราวในเวลาที่ผมต้องการอยู่ในโหมดไม่ระบุตัวตน เรียกได้ว่าเป็นเซฟเฮ้าส์สำคัญของผมเลยก็ว่าได้บนชั้นที่ 40 ที่มีเพียง 8 ห้องกับวิวแม่น้ำสายหลักที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของประเทศในยามค่ำคืน กับการตกแต่งสไตล์โมเดิร์นพร้อมแสงไฟสลัวที่สาดแสงนุ่มออกจากผนังห้องน้ำที่เป็นกระจกฝ้ามันดูช่างน่าหลงใหลเป็นยิ่งนัก ระเบียงกว้างที่จัดสวนญี่ปุ่นไว้อย่างสวยงามพร้อมน้ำตกเล็กๆ ที่ส่งเสียงแผ่วๆ ตลอดทั้งคืนก็หันมากระทบกับแสงจันทร์ที่ส่องสาดอาบแสงอุ่นไปทั่งบริเวณ พลาสม่าทีวีที่ติดอยู่บนผนังอยู่ในสถานะแสตนด์บาย โซฟาเบดที่จัดเรียงเข้ามุมไว้อย่างลงตัวกับแสงไฟดาวน์ไลท์สีทังสเตนเหลืองอุ่นที่ถูกปรับระดับลดลงให้มองเห็นกันแค่เงาของแสงอ่อนจากระเบียงที่กระทบเข้ากับเรือนร่างอันเปลือยเปล่าของสาวสวยที่มานอนเคลียคลอด้วยกันบนเตียงหนานุ่มขนาดคิงส์ไซส์มันยากที่จะหาคำไหนมาอธิบายถึงความสุขนี้ได้อีกแล้ว


Picture : http://www.heyday.co.th

ความสุขตลอดค่ำคืนอันยาวนานจนกาลเวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้ ผมร่วงผลอยหมดสภาพหลับไปเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ของบักจอห์นนี่หรือเพราะเสียพลังงานไปเยอะตลอดค่ำคืนนี้ก็ไม่รู้ ลืมตามาอีกทีแดดอ่อนๆ ก็สาดส่องลอมช่องของผ้าม่านสีเข้มเข้ามากระทบกับใบหน้าอันยับยู่ยี่ของผม ดูจากสภาพห้องแล้วเมื่อคืนคงมีสงครามย่อมๆ เกิดขึ้นกันที่นี่เป็นแน่แท้ เสื้อผ้าของผมกองเกลื่อนกระจัดกระจายไปคนละทางสองทาง หันมาดูตัวเราทำไมไม่ใส่เสื้อผ้านอนล่ะ พลันเริ่มลำดับเหตุการณ์ สติเริ่มกลับคืนมาความทรงจำสีจางๆ ก็เริ่มแจ่มชัดขึ้นทีละน้อย น้องเอลลี่หายไปแล้ว นึกว่าฝันไปซะอีกนี่ผมเป็นคนที่โชคดีหรือนี่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เสียงจากปลายสายตะโกนกระเซ้ามาว่าสบายตัวเลยล่ะสิ วันนี้หยุดงานหรือไง เมื่อคืนไม่พอเหรอ? ก็คุยกันไปตามประสาแล้วก็ทิ้งท้ายด้วยการทำสัญญาปากเปล่าเพื่อสนับสนุนทีมฟุตบอลจากอังกฤษอีกคู่ในคืนนี้

หลังวางสายจากหมู่มวลมหาสมาชิกร่วมแก๊งค์ไปได้ไม่นาน ผ่านการชำระล้างคราบไคลที่เกาะเกี่ยวเหนียวตัวอยู่ทั้งคืนออกไปเสียบ้าง แล้วจะได้มาเพลิดเพลินกับกาแฟหอมกรุ่นรสเข้มในสายๆ วันหยุดแบบนี้กับข่าวสารบ้านเมืองจากหนังสือพิมพ์ออนไลน์ให้สุขกายสบายอุราเสียหน่อย พร้อมกันก็เอื้อมมือไปกดรีโมทเปิดเครื่องเสียงชุดโฮมเธียเตอร์ที่ติดตั้งระบบเสียง 3D Surround DVB T2 THX DTS อะไรสารพัดที่เซลล์ขายเครื่องเสียงสาธยายเป็นคุ้งเป็นแควให้ฟัง ทั้งที่ผมไม่เข้าใจที่เค้าพูดเลยสักอย่าง แค่มันฟังวิทยุ ดูหนังบลูเรย์ได้ ร้องคาราโอเกะเพลินๆ ได้ก็โอเคแล้วสำหรับผมเนื้อร้องของเพลงแรกจากเครื่องเสียงราคาเกือบเรือนแสนที่ลอยกระทบโสตประสาท มันทำให้ผมสะดุดกึกกับเพลงไทยสมัยนี้ ..

... 
ฉันเป็นกะเทย รักใครไม่เคยนอกใจ
ปลอมแค่เพียงกาย แต่ว่าหัวใจข้างในไม่ปลอม
รักฉันได้ไหม ฉันมีแต่ให้ ฉันมีแต่ยอม
ดอกไม้ปลอม ปลอม รอคนเมตตาเข้ามาดอมดม
...
ถึงเป็นกะเทย ฉันก็ไม่เคยนอกใจ
ปลอมแค่เพียงกาย แต่ว่าหัวใจข้างในไม่ปลอม
รักฉันได้ไหม ฉันมีแต่ให้ ฉันมีแต่ยอม
ดอกไม้ปลอม ปลอม รอคนเมตตาเข้ามาดอมดม
ผู้หญิงปลอม ปลอม รอคนเมตตาเข้ามารักกัน

รู้สึกว่ามันช่างเปิดเผยจนเป็นที่ยอมรับกันในสังคมไปแล้วล่ะมั๊ง สมัยนี้อะไรๆ มันก็เปลี่ยนไป สิทธิในการเลือกเพศ เลือกที่จะเป็นเพศไหนมันเป็นสิทธิอันชอบธรรมของสังคมสมัยใหม่ไปแล้ว มีทั้งศิลปิน นักแสดง บุคคลสาธารณะ ไอดอลของหลายๆ คนก็ออกมาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกันดาษดื่น เรื่องนี้ผมไม่ขอยุ่งแล้วกัน(เลียนแบบคุณริว จิตสัมผัสสักหน่อย .. ฮ่าๆๆ)

จู่ๆ พลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนเจ้าเอกไม่ได้มาตามนัดนี่นา เลยกดโทรศัพท์ไปหาเจ้าเอกตามเบอร์ใน List ก็ได้ยินเสียงรอสายบอก บอก บอกว่าให้รอ .. ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝากหัวใจ .. เอ๊ย .. บริการรับฝากข้อความของหมายเลข ศูนย์ X-XXXX-XXXX กรุณาฝากข้อความหลังจากได้ยินสัญญาณ .. ตู๊ดดดดดด ..ผมโทรอยู่เป็นสิบครั้งแต่ก็ฝากข้อความทุกครั้ง จนเริ่มท้อเลยเดินไปหาเสื้อผ้าใส่จะได้ออกไปหาอะไรกินเป็นมื้อกลางวันแล้วจะได้เข้าออฟฟิศไปเอางานกลับมาทำในวันหยุดอีกสักหน่อย ปีใหม่จะได้มีเวลาเที่ยวได้หลายๆ วัน แต่สายตาก็ต้องไปสะดุดเอากับเจ้า Samsung Galaxy S3 วางทิ้งไว้ที่หน้าโต๊ะข้างเตียง ไม่ใช่ของผมแน่ๆ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นของน้องเอลลี่ ผมก็ขอคิดเข้าข้างตัวเองว่า เธออาจทิ้งโทรศัพท์ไว้เผื่อจะได้ติดต่อกลับมาเพื่อนัดเจอกันอีกหรือเปล่า? .. ฝันหวานไปอย่างนั้นแหละ .. แต่โทรศัพท์ปิดอยู่นี่นาแล้วจะติดต่อกันได้ยังไง ..? ผมเลยรีบเปิดโทรศัพท์ของน้องเอลลี่เผื่อเธออาจจะโทรเข้ามาแล้ว ..

ทันทีที่เจ้า Samsung ของน้องเอลลี่แสตนด์บาย ก็มีข้อความตัวอักษรจากศูนย์ข้อความของผู้ให้บริการส่งเข้ามาบอกว่ามีสายที่ไม่ได้รับนับสิบสาย ผมก็รีบเปิดอ่านข้อความ .. แล้วก็พาลจะเป็นลม วิงเวียนหน้ามืด ยืนนิ่งมือเท้าเย็นเฉียบ ตกใจที่สุดตั้งแต่เกิดมาในชีวิตลูกผู้ชายทั้งแท่งของผม ..

เพราะหมายเลขที่แสดงอยู่ต่อสายตาของผมนั้น .. มันคือ ..

. . . ห ม า ย เ ล ข โ ท ร ศั พ ท์ ข อ ง ผ ม เ อ ง   . . ! ! ! ! . . .

...

 

เขียนเมื่อ : วันอังคารที่ 1 เมษายน พ.ศ.2557 เวลา 12:36 น. GMT+7 TH
ผู้เขียน : Tombass