Picture by http://gonorththailand.com
“ไกลห่างกันครั้งใด .. หัวใจไม่เคยว่างงาน ..
เพราะว่าคิดถึงเธอทุกวัน .. เป็นคนสำคัญที่ฝันอยากเจอ ..
คิดถึงเสมอเพียงเจอ .. คนหน้าคล้ายๆ ..
ฟังคนพูดเรื่องใด .. หัวใจก็แปลเป็นเธอ ..
นับแม้เศษนาที .. คอยวันที่กลับมาเจอ ..
ไม่เห็นก็ห่วงเสมอ .. ถามถึงเธอในใจยามเหงา ..”
เสียงหวานๆ ของคุณก๊อต จักรพันธ์ อาบครบุรี ในบทเพลง “แทนความคิดถึง” ที่โด่งดังเป็นพลุแตกร้องติดปากกันทุกเพศทุกวัยทั้งชาย-หญิงหรือยังไม่แน่ใจเพศตัวเอง และทั้งเด็กผู้ใหญ่เฒ่าชะแลแก่ชรา ส่งเสียงเจื้อยแจ้วดังกังวานลอดผ่านลำโพงตัวเล็กๆ เก่าคร่ำคร่าจะพังแหล่มิพังแหล่ที่ผูกด้วยเชือกฟางยึดติดไว้กับราวเหล็กด้านในหลังคาผ้าใบของรถสองแถวประจำทางที่มุ่งเข้าสู่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศพร้อมกับผู้โดยสารนับสิบคนที่แออัดกันในเที่ยวนี้ เพราะการที่จะพลาดรถในแต่ละเที่ยวนั่นมันหมายถึงว่าการเสียเวลารออีกครึ่งวันกับรถโดยสารขนาดเล็กที่มีเพียงสายเดียวที่จะผ่านเข้าไปยังหมู่บ้านของพีรพล เจ้าหนุ่มเหนือหน้ามนที่ได้วันหยุดยาวจากงานที่ทำเลยตั้งใจกลับมาไหว้แม่ที่ไม่ได้เจอหน้ากันกว่า 7 ปีตั้งแต่ได้ทุนไปเรียนที่กรุงเทพฯ และถือโอกาสมารดน้ำดำหัวผู้หลักผู้ใหญ่ตามประเพณีในเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ด้วยเลย
แต่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะการเดินทางในช่วงเทศกาลแบบนี้ ถนนสายสำคัญที่มุ่งสู่ภาคเหนือและภาคอีสานนั่นจะคราคร่ำไปด้วยปริมาณรถยนต์จำนวนมากมายมหาศาล ทำเอาพีรพลที่ออกเดินทางจากเมืองหลวงด้วยรถทัวร์เที่ยวสุดท้ายของวันเสาร์ที่ 12 เมษายนในราวๆ ห้าทุ่มเศษ แต่มาถึงสถานีขนส่งในตัวจังหวัดเอาตอนเกือบห้าโมงเย็นของวันรุ่งขึ้นและจากตรงนั้นก็นับว่ายังดีที่ทันรถสองแถวเที่ยวสุดท้ายที่จะออกในเวลาหกโมงเย็นและนั่นก็เป็นวิธีเดียวที่จะเข้าไปยังหมู่บ้านของเขาได้
Picture by http://www2.manager.co.th
ผู้คนเริ่มทยอยกันขึ้นมานั่งบนรถจนแน่น ถึงจะยืนบ้างนั่งบ้างยังไงก็คงต้องแบ่งๆ กันไปเพราะนี่เป็นรถเที่ยวสุดท้ายแล้ว ตามประสาคนบ้านนอกแต่ก็เอื้อเฟื้อกันไปตามแต่พอจะช่วยกันได้จนท้ายรถสองแถวคันนั้นแทบจะระไปกับพื้น หน้ารถเชิดขึ้นจนคนขับแทบจะมองไม่เห็นถนนแล้ว ล้อหมุนช้ากว่ากำหนดเวลาไปราวครึ่งชั่วโมงเพราะลุงมีคนขับบอกว่าต้องรอผู้โดยสารอีกคนนึงก่อน แต่เท่าที่เขาสังเกตก็ไม่ได้เห็นวี่แววของผู้โดยสารลึกลับคนนั้นแต่ประการใด แล้วรถสองแถวคันเก่าคร่ำจึงได้เริ่มออกเดินทาง
ช่วงชั่วโมงแรกนั้นเส้นทางเรียบราบแบบฉบับถนนในเมือง มีคนเริ่มทยอยลงไปตามรายทางหลังจากผ่านหมู่บ้านไป 5-6 หมู่บ้าน รถเริ่มเบากลับมาอยู่ในระนาบปกติ เหลือคนในรถอีกไม่ถึง 10 คนแล้ว ท้องฟ้าเริ่มมืดลงไปทุกขณะ อากาศที่เคยร้อนระอุในตอนกลางวันก็เริ่มเบาบางลงบ้าง เพราะหลังจากนี้จะเป็นเส้นทางช่วงที่อยู่บนสันเขาทั้งสิ้นจนถึงปลายทางที่หมู่บ้านของพีรพล ซึ่งต้องใช้เวลาอีกประมาณไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงกับถนนราดยางแอลฟัสท์ขนาด 2 ช่องจราจร ที่นานๆ จะเห็นไฟสูงส่องสาดมาแต่ไกลของรถที่วิ่งสวนมาสักคัน ด้วยความชำนาญของลุงมีคนขับที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันกับเขากับเส้นทางสายนี้ที่แกขับมานับสิบปีจึงเป็นที่อุ่นใจได้ว่าปลอดภัยแน่นอน ดังนั้นจากการเดินทางอันแสนทรหดเกือบ 18 ชั่วโมงทำให้เขานั่งคอพับหลับนกอยู่ที่เบาะในสุดนั่นเอง
เขาหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ตื่นมาก็เห็นแสงไฟริบหรี่จากโคมฮาโลเจนสองดวงที่หน้ารถยังสาดส่องไปยังพื้นถนนว่างเปล่าด้านหน้า ต้นไม้ใหญ่ข้างทางยืนตระหง่านจังก้ากิ่งใบสั่นไหวเพราะแรงลมที่รถวิ่งผ่านนั้นดูราวกับกำลังโบกมือเรียกให้เข้าไปหา เริ่มได้ยินเสียงนกกลางคืนส่งเสียงเรียกคู่ของมันฟังโหยหวนทำลายความเงียบสงัดในรถซึ่งตอนนี้เหลือเพียงพีรพลกับสาวนน้อยนางหนึ่งที่ขึ้นมาตอนไหนไม่รู้คาดว่าน่าจะมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่เดียวกัน ด้วยแสงไฟที่น้อยนิดแทบมองไม่เห็นลายมือตัวเองจากหลอดไส้ดวงกลมเล็กกระจิ๊ดริดที่ติดอยู่ด้านท้ายรถ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นหน้าเธอได้ชัดเจนเท่าใดนัก แต่ก็พอมองเห็นเค้าโครงที่แสดงถึงว่าเธอเป็นคนสวยรูปร่างดีคนหนึ่งเลยทีเดียว ใส่ชุดนักศึกษาของราชภัฏในตัวเมืองปล่อยชายเสื้อไว้นอกกระโปรงยาวสีดำซีดๆ เก่าคร่ำมีรอยขาดวิ่นตัวนั้น
Picture by http://www.f0nt.com
ด้วยความที่คิดว่าเป็นคนบ้านเดียวกันจึงชวนเธอคุยเพื่อให้ทำลายความเงียบสงัดบนรถในยามนี้เป็นการฆ่าเวลาไปในตัว และจากบทสนทนาระหว่างทั้งสอง ด้วยน้ำเสียงอันวังเวงเย็นยะเยือกของเธอระคนไปกับเสียงลมที่พัดอื้ออึงจากรถที่กำลังวิ่งอยู่นั้นก็พอจะจับใจความได้ว่าเธอชื่อ “น้ำหวาน” เป็นลูกของครูบุษบาที่สอนอยู่โรงเรียนประถมประจำหมู่บ้าน บ้านของเธออยู่ในซอยข้างอนามัยใกล้กับสี่แยกใหญ่กลางหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ก่อนถึงบ้านของเขาไม่เท่าไรนัก พอได้ยินชื่อของเธอ พีรพลก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหน มันเหมือนติดอยู่ที่ปลายจมูกแค่นี้แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออกสักที เธอบอกว่ากลับจากทำธุระในเมืองขึ้นรถมาจากท่ารถเดียวกับเขา แต่ทำไมพีรพลถึงไม่ได้สังเกตเห็นสาวน้อยคนนี้เลยนะ หรืออาจจะเป็นเพราะจำนวนคนที่แออัดจนแน่นขนัดในตอนแรกจึงมองไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
บทสนทนาไม่กี่ประโยคแต่ดูช่างยาวนานสำหรับเขาจบลงตรงที่รถโดยสารของเขามาจอดนิ่งสนิทเครื่องดับอยู่ที่หน้าอนามัยพอดี น้ำหวานก้าวลงจากรถแล้วเดินหายเข้าไปในซอยด้านข้าง รถยังคงจอดนิ่งอยู่อีกอึดใจแล้วเครื่องก็ติดอีกครั้ง จึงค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าๆ เสียงเร่งเครื่องดังกระหึ่มแต่รถดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากเคลื่อนตัวสักเท่าไหร่ เขานึกเอะใจว่ารถอย่าเพิ่งมาเสียตอนนี้นะ เวลาตอนนี้มันก็ราวๆ สี่ทุ่มแล้วไม่รู้จะหารถที่ไหนต่อเข้าบ้าน หากไม่เช่นนั้นเขาคงต้องเดินผ่านวัดที่ไม่ใช่อะไรที่เหมาะที่ควรสักเท่าไรนัก ถ้าจะเดินผ่านไปในยามค่ำคืนท่ามกลางความมืดตึ๊ดตื๋อแบบนี้ รถค่อยๆ คลานมาช้าๆ ผ่านหน้าวัดก็ได้ยินเสียงลุงมีตะโกนลั่นมาจากด้านหน้าว่า
“เอ้า มาส่งให้ถึงที่แล้วก็พากันลงไปเสีย” เสียงลุงมีตะคอกมาแว่วๆ แต่น้ำเสียงฟังขึงขัง ทำเอาเขานั่งงง จะให้ลงแต่ไม่จอดให้ซะด้วย พลันตะโกนตอบไปว่า
“ยังไม่ถึงบ้านผมนะ อีกตั้งสองกิโลนี่ครับลุง” เขาตะโกนตอบไป แต่ก็ไม่มีเสียงตอบมาแต่ประการใด
พอรถผ่านหน้าวัดอาการเครื่องยนต์หมดแรงวิ่งไม่ออกก็พลันหายเป็นปลิดทิ้ง เหมือนคำอธิษฐานของเขาจะเป็นจริงขึ้นมาเฉยๆ รถกลับมาวิ่งปร๋อเรี่ยวแรงดีเหมือนเดิม ไม่กี่นาทีรถก็มาจอดนิ่งสนิทที่ปากซอยเข้าบ้านของเขาที่ต้องเดินลัดเลาะเลียบชายทุ่งไปอีกสักสองสามร้อยเมตรเห็นจะได้ แสงไฟสีเหลืองอ่อนดูมัวซัวจากฝุ่นที่จับหน้าเลนส์จนหนาเกรอะกรังจากเสาไฟฟ้าข้างถนนมันช่างดูอ่อนแรงเหลือเกินจนแทบมองไม่เห็นทางอยู่แล้ว ไฟท้ายสีแดงริบหรี่หลังรถสองแถวของลุงมีค่อยๆ ลับหายไปในความมืดข้างหน้าคงไปสุดทางที่บ้านของแกตรงท้ายหมู่บ้าน
Picture by http://i812.photobucket.com
เดินเข้าซอยมาได้ไม่ถึงห้าสิบเมตรก็สุดซอยแล้ว เส้นทางต่อจากนี้ก็จะเป็นคันนายาวไปจนถึงบ้าน ที่มีแต่แสงจันทร์สีเหลืองนวลส่องสว่างทาทาบไปบนยอดข้าวสีเทาปลิวไสวในท้องทุ่งนากว้างใหญ่ของบ้านเขาท่ามกลางสายลมเย็นยะเยือกที่พัดอ่อนๆ ต้นไม้ป่าสูงใหญ่หลายต้นที่ริมคันนายืนเรียงหน้าดำทะมึนตัดกับท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆหมอกใดๆ ของค่ำคืนก่อนวันเพ็ญเดือนห้า เสียงลมหวีดหวิวพัดผ่านกิ่งใบของต้นไม้ใหญ่ดังกราวๆ ส่งเสียงแผ่วๆ ราวเสียงกระซิบจากความมืดลอดผ่านสู่โสตประสาท เห็นแล้วพาให้ใจผวานึกว่าใครมาโบกมือเรียกให้เข้าไปหา มันชวนให้จิตผวากระเจิดกระเจิง หากไม่ได้เคยเดินผ่านเส้นทางนี้มาแต่เล็กแต่น้อยหัวใจเขาคงตกไปอยู่ที่ตาตุ่มไปแล้ว แต่บรรยากาศมันก็ชวนให้หวั่นใจเสียวสันหลังวูบวาบเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
เขาเริ่มเร่งฝีเท้าอีกนิดเพื่อจะได้ถึงบ้านเสียที พลันประสาทหูก็ได้ยินเสียงเหมือนคนเดินตามหลังดัง สวบ .. สวบ .. สวบ และเหมือนว่ากำลังเร่งฝีเท้าตามมาให้ทันเขาด้วย พีรพลจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีกจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง เจ้าเสียงนั้นก็ดังถี่ขึ้นตามมาติดๆ จนแทบหายใจรดต้นคอ เขาตัดสินใจหยุดเดินแล้วกลั้นใจหันกลับไปดูว่าเจ้าของเสียงนั้นมันคืออะไรกันแน่ ภาพที่เห็นตรงหน้าคือเงาตะคุ่มของกลุ่มชายฉกรรจ์ 3-4 คนที่กำลังก้าวเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว เขาเห็นท่าไม่ดีจึงกลับหลังหันแล้วรีบวิ่งสุดกำลังไปยังบ้านของเขาที่อยู่ข้างหน้าอีกราวร้อยเมตร พลางคิดไปว่านี่เราจะมาโดนปล้นเอาซะที่หน้าบ้านตัวเองหรือนี่ ชายกลุ่มนั้นตามมาทันกันที่บ้านพอดี แม่ที่นั่งรอเขาอยู่ได้ยินเสียงโหวกเหวกเลยออกมาดู จึงได้รู้ว่าเป็นอาสาสมัครตำรวจบ้านที่ออกตรวจตราหมู่บ้านผ่านมาเห็นเงาคนกำลังเดินเข้ามาที่บ้านเลยนึกว่าคนร้ายจึงรีบเดินตามเข้ามาดูแลความปลอดภัย
ลุงชมที่เป็นอาสาสมัครกับพรรคพวกบอกกับแม่ของเขาว่าช่วงนี้มีคนแจ้งเหตุว่าได้ยินเสียงกุกกักในบ้านแต่พอไปตรวจก็เจอแต่ข้าวปลาอาหารกระจัดกระจายเกลื่อนเหมือนเข้ามาขโมยหาอาหารกิน แต่ไม่พบร่องรอยการบุกรุกแต่อย่างใดก็เลยต้องตรวจเข้มกันหน่อย คืนนี้ของพีรพลก็ผ่านไปด้วยกอดรับขวัญจากผู้เป็นแม่ที่จัดเตรียมข้าวปลาอาหารของโปรดของลูกชายเอาไว้รอท่าตั้งแต่เย็น และได้ชื่นชมใบปริญญาที่เขานำมาฝากหลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันเกือบ 8 ปี
Picture by http://lh6.googleusercontent.com
เช้าวันต่อมาระหว่างที่พากันออกจากบ้านเพื่อไปทำบุญกันที่วัด พีรพลสังเกตเห็นเศษผ้าชิ้นเขื่องที่ดูเหมือนจะกระโปรงสีดำเก่าคร่ำติดอยู่ที่ตอไม้มองลักษณะแล้วดูคุ้นตาเป็นอย่างมาก หลังจากทำบุญกันตามประเพณีเป็นที่เรียบร้อยก็ได้เวลาที่จะไปกราบครูบาอาจารย์และแวะเวียนไปทักเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยประถมอย่าง “หนุ่ม” ที่ไม่ได้เรียนต่อด้วยภาระที่ต้องไปสืบทอดอาชีพตามแนวทางของบรรพบุรุษ ทั้งสองไปนั่งคุยกันถึงเรื่องราวตอนเป็นเด็กประถมกันอย่างออกรสที่ร้านโกฮงศูนย์รวมข่าวประจำหมู่บ้าน แล้วจู่ๆ หนุ่มก็โพล่งถามขึ้นมาว่า
“พล เอ็งจำนารีได้ไม๊? ลูกครูบุษบาชื่อเล่นชื่อน้ำหวานน่ะ เพื่อนของพวกเราตอนสมัยประถมไง?” หนุ่มถามเขา
“อืมมมม .. ใช่น้ำหวานคนที่นั่งรถลุงชมมากับข้าเมื่อคืนนี้นะเหรอเปล่าว๊ะ?” เขาตอบแบบครุ่นคิด
“เห็นบอกว่าเป็นลูกครูบุษบา บ้านอยู่ตรงซอยข้างอนามัย ใช่คนเดียวกันหรือเปล่า?” เขาเล่าต่อ
หนุ่มทำหน้าสงสัยหลังจากได้ยินคำตอบ
“เออ .. ใช่คนเดียวกัน .. ว่าแต่เอ็งนั่งรถมากับน้ำหวานจริงๆ เหรอว๊ะ?” หนุ่มถามอีก
“จริงสิ .. ข้ายังนั่งคุยกับเธอมาตลอดทางจนเธอมาลงไปตรงหน้าอนามัยนั่นแหละ มีอะไรเหรอว๊ะ?” เขาตอบแบบงงๆ ปนสงสัย
“ก็น้ำหวานตายไปแล้วตอนที่เกิดอุบัติเหตุรถทัวร์ตกเหวไง รถมอเตอร์ไซค์ที่เธอขับถูกรถทัวร์พุ่งเข้าชนแล้วลากตกเหวไปด้วยกันตอนที่กำลังขี่รถกลับบ้านก่อนเอ็งจะมาไม่นานนี่เอง” หนุ่มเล่าเรื่องของน้ำหวานให้เขาฟังเสียยาวเหยียด
ระหว่างที่พีรพลนั่งนิ่งอึ้งขนลุกซู่นึกไม่ถึงว่าเพื่อนเก่าสมัยประถมจะมาต้อนรับขับสู้กันตั้งแต่เขายังมาไม่ถึง ทั้งอุตส่าห์นั่งรถเป็นเพื่อนคุยกันมาตลอดทางนั้น พอดีกับลุงมีคนขับรถสองแถวคันที่เขาโดยสารมากับน้ำหวานเมื่อคืนก็ขับรถเข้ามาจอดที่หน้าร้าน พอเห็นหน้าพีรพลแกก็รีบระร่ำระลักบอกว่า
“เฮ้ย ไอ้หนุ่ม เมื่อคืนข้าไม่ได้ตะโกนบอกให้เอ็งลงหรอก ข้าบอกไอ้พวกที่ขอติดรถมาลงที่หน้าวัดต่างหาก เมื่อคืนมันโบกให้จอดแล้วขอมาด้วย ข้าไม่ได้อยากจอดเลยแต่รถมันดับเองอยู่ตรงนั้น” ลุงมีแกเล่าให้เขาฟังเป็นฉากๆ
“ก็ไม่เห็นมีใครขึ้นมานี่ครับลุง พอน้ำหวานลงไปผมก็นั่งคนเดียวมาจนลงที่หน้าปากซอยบ้านนั่นแหละ” เขาตอบเสียงสั่นใจไม่ค่อยดี
“ห๊าาาา .. นังหวานลูกครูบุษบาน่ะเหรอ .. มันนั่งมาด้วยเหรอ ..?” ลุงมีอุทานเสียงหลง
“มิน่าล่ะ รถของข้าถึงไปดับอยู่หน้าอนามัย ไอ่พวกนั้นก็เลยมาขอติดรถไปด้วย” แกเล่าด้วยเสียงกระเส่า
“เออ ข้ายังเห็นเศษกระโปรงดำแบบนักศึกษาสีซีดๆ ขาดติดอยู่ที่เบาะนั่งข้างๆ ที่เอ็งนั่งด้วยล่ะ” แกพูดพลางสีหน้าเริ่มวิตกมากขึ้น
“พวกไหนล่ะลุง ฉันไม่เห็นมีใครขึ้นมาเลยสักคน” พีรพลถามด้วยความกลัวสีหน้าก็เริ่มซีดเผือด
“ก็พวกที่มารถคว่ำตกเหวตายทั้งคันตรงโค้งลงเขาก่อนถึงหมู่บ้านเราเมื่อสองอาทิตย์ก่อนน่ะสิ เนื้อตัวแต่ละคนเลือดเกรอะกรัง บางคนเริ่มเน่าเฟะน้ำเหลืองไหลเยิ้ม บางคนคอหักพับอยู่ข้างตัวตาเหลือกถลนน่าเกลียดน่ากลัว ข้าแอบมองผ่านทางกระจกส่องหลังก็เห็นพวกมันนั่งเบียดอยู่กับเอ็ง ยังนึกสงสัยว่าเอ็งมีของดีอะไรถึงไม่กลัวพวกมันซะอีก” แกเล่าต่อ
“ไม่ว่าข้าเร่งเครื่องยังไงรถมันก็วิ่งไม่ค่อยจะไหว ก็มันขึ้นมาซะแน่นเอี้ยดเต็มคันแบบนั้น พอผ่านหน้าวัดข้าเลยตะโกนไล่พวกมันลงไปอย่างที่เอ็งได้ยินนั่นแหละ สงสัยต้องเอารถไปให้หลวงพ่อรดน้ำมนต์ล้างซวยเสียหน่อยแล้ว” ลุงมีทิ้งท้ายด้วยเสียงสั่นๆ พร้อมยกโอเลี้ยงดูดทีเดียวหมดแก้ว
พีรพลก็ฉุกคิดได้ว่า หรือน้ำหวานจะไม่ได้แค่มานั่งเป็นเพื่อนคุยตลอดทาง เธอยังช่วยบังตาเขาไม่ให้ถูกพวกวิญญาณตายโหงเหล่านั้นหลอกหลอนเอา แถมยังอุตส่าห์เดินตามไปส่งจนถึงบ้านอีกด้วย
“ขอบคุณนะน้ำหวานที่ยังจำกันได้ ขอบคุณยังคิดถึงและเป็นห่วงกัน” พีรพลตั้งจิตคิดขอบคุณเพื่อนเก่าจากในใจ
--- นายเมษา ---
วันอาทิตย์ 20 เมษายน 2557; 22:41 น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น