วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2557

เรื่องสั้นลำดับที่ 1 : เค้ากลับมา .. ตามสัญญา ..


Picture by http://www.dailynews.co.th

วิชิต โปรแกรมเมอร์หนุ่มร่างท้วมเรียนจบวิทย์-คอมฯ จากมหา'ลัยมีชื่อย่านหัวหมาก แต่งงานแล้วมีลูกสาวน่ารักคนนึง ที่บ้านมีฐานะดีถึงดีมาก เข้ามาทำงานกับทีมของผมเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ในเม็กกะโปรเจ็คมูลค่าเฉียดล้านกับการพัฒนาเวบไซต์หลายภาษาของบริษัทมหาชนค้าน้ำมันข้ามชาติ เค้าจะมีความชำนาญมากๆ กับการเขียนจาวาสคริปรวมถึงเจคิวรี่ซึ่งใช้เป็นส่วนติดต่อกับผู้ใช้แบบอินเตอร์แอ็กทีฟที่ผมให้ความสำคัญสูงสุด จึงทำให้ผมกับวิชิตสนิทสนมกันมากเพราะบางครั้งต้องอยู่ทำงานด้วยกันที่ออฟฟิศจนดึกจนดื่น ผมก็จะขับรถไปส่งน้องเค้าที่คอนโดหรูย่านพระรามเก้า ทั้งที่มีรถหรูราคาแพงแต่น้องเค้าก็ชอบใช้บริการรถสาธารณะในการเดินทางมากกว่า ถึงจะรู้จักและร่วมทีมกันมาแค่ประมาณเดือนเศษผมก็รู้สึกถูกชะตากับวิชิตอย่างบอกไม่ถูก ประกอบกับวิชิตเป็นคนที่ละเอียดถี่ถ้วน ความผิดพลาดในการเขียนสคริปโปรแกรมมีน้อย ทำให้โปรเจ็คดำเนินไปได้ด้วยดีและรวดเร็ว จึงเป็นเหมือนน้องชายคนโปรดของผมเลยทีเดียว

ประมาณกลางเดือนมกราคม ผมก็รู้สึกได้ถึงความอ่อนล้าของวิชิตที่ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผิดพลาดกับสคริปง่ายๆ ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้กับโปรแกรมเมอร์อย่างเค้า ผมเลยบอกน้องไปว่า
"ถ้าเหนื่อยหรือเครียดนักก็ไปเที่ยวพักผ่อนซัก 3-4 วันก่อนก็ได้นะ ปีใหม่ยังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยไม่ใช่เหรอ? ลองพาแฟนกับลูกไปเที่ยวซักหน่อยก็ดีนะ” วิชิตพยักหน้ารับคำแต่แววตาดูไม่ดีเท่าไหร่
สุดสัปดาห์นั้นวิชิตโทรเข้ามาบอกผมว่า เค้าจะกลับไปเยี่ยมพ่อแม่ที่โคราชซักหน่อย แล้วก็จะขับเลยไปแวะนอนเล่นรับโอโซนดีๆ ที่วังน้ำเขียวซักคืนสองคืน และจะกลับมาทำงานในวันพุธ ผมก็ยังกระเซ้าว่าเที่ยวเผื่อพี่ด้วยนะ แล้วอย่าลืมซื้อแหนมกระดูกหมูมาฝากด้วยล่ะ เค้าก็รับคำเป็นอย่างดี

เย็นวันอังคารหลังจากประชุมเครียดเพื่อรับบรีฟเพิ่มเติมจากลูกค้าแล้ว ผมก็กลับไปนั่งดีบักโปรแกรมไปตามปกติ ซึ่งเย็นนั้นฝนเจ้ากรรมก็เทลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาราวกับฟ้ารั่วหลังจากที่อัดอั้นครึ้มฟ้าครึ้มฝนกันมาตั้งแต่เช้า ผมยังคิดว่าฝนอะไรหนอช่างมาตกในหน้าหนาว และเมื่อใดที่ฝนตกในกรุงเทพฯ แล้วยังตกในช่วงเวลาที่กำลังเลิกงานเช่นนี้ด้วยแล้ว การจราจรบริเวณออฟฟิศของผมก็จะกลายเป็นจราจลไปในพริบตา เลยตัดสินใจว่าอยู่ทำงานดึกอีกสักวันน่าจะดีกว่านะ แม่บ้านของออฟฟิศมาบอกว่าจะกลับแล้วเดี๋ยวมืด ทั้งออฟฟิศก็เลยเหลือผมอยู่คนเดียวซึ่งก็เป็นแบบนี้อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว


Picture by http://thaicss.com

ระหว่างนั่งรอดีบักโปรแกรม ก็สอดส่ายสายตาลอดมู่ลี่ปรับแสงผ่านกระจกใสบานใหญ่ออกไปข้างนอกหน้าต่าง แลเห็นแสงไฟวาววับระยิบระยับของมหานครใหญ่อย่างกรุงเทพฯ ในยามค่ำคืนจากมุมสูงของชั้นที่ 18 อันเป็นที่ตั้งของออฟฟิศผม มันช่างงดงามเสียนี่กระไร มีไม่บ่อยครั้งนักที่ผมจะได้มานั่งทอดอารมณ์ชมวิวแบบชิลๆ แบบนี้จนเผลอเคลิ้มหลับไปตั้งแต่ไม่ไหร่ไม่รู้
แต่ก็ต้องตกใจตื่นขึ้นมาเพราะเหมือนกับมีเสียงกระซิบในความฝันบอกว่า
"พี่ต้อม .. พี่ต้อม .. ตื่นเถอะพี่ .. ตื่นเร็วๆ .."
ผมลืมตาขึ้นมาเห็นควันจางๆ อยู่ในครัว จึงรีบลุกไปดูปรากฎว่ากระติกน้ำร้อนที่ผมเสียบไว้เผื่อจะได้ชงกาแฟกินแก้ง่วงช่วงทำงานดึกๆ มันช๊อตแต่ยังไม่ติดเป็นเปลวไฟ ผมก็ตื่นมาเห็นซะก่อน ต้องถือว่าเป็นโชคดีของผมไม่เช่นนั้นแล้วเรื่องนี้อาจจะจบไม่สวย ก็เลยคิดว่าสงสัยวันนี้เห็นทีฤกษ์จะไม่งามยามจะไม่ดีซะแล้ว น่าจะกลับบ้านไปนอนก่อนดีกว่านะเรา

เช้าวันต่อมาผมเข้าไปที่ออฟฟิศ พอเจอหน้ากัน แม่บ้านก็ถามผมว่า
"คุณต้อมซื้อแหนมกระดูกหมูมาใส่ตู้เย็นไว้เหรอ?"
"เปล่านะ เมื่อคืนวานกระติกน้ำร้อนมันช็อตเกือบไหม้ ผมจัดการเก็บกวาดอยู่จะออกไปซื้อตอนไหนกันล่ะ?" ผมตอบไปแบบงงๆ ก็พลันนึกไปว่าสงสัยวิชิตจะเอามาฝาก แล้วเจ้าตัวอยู่ไหนล่ะ? มีงานจะให้ช่วยทำเยอะแยะเลย ผมเลยเอ่ยปากถามหาน้องชายคนโปรดของผม
"น้องวิชิตยังไม่มาค่ะ เมื่อเช้าตอนที่ป้ามาถึง ออฟฟิศยังปิดอยู่เลยค่ะ ป้าเป็นคนเปิดประตูเองกับมือเลยนะคะ" แม่บ้านตอบแบบสงสัย


Picture by http://www.seanogle.com

ผมเองก็งงแต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ พลันเดินไปดูที่เครื่องคอมฯ ของวิชิต ก็พบว่าเครื่องไม่ได้ถูกเปิด ก็แสดงว่ายังไม่ได้มาทำงานจริงๆ เลยกลับไปที่โต๊ะทำงานของผมเพื่อเริ่มงานสำหรับวันนี้ พลันเหลือบไปเห็นเอสดีการ์ดเสียบคาอยู่ที่เครื่องคอมฯ ก็ แปลกใจอยู่เหมือนกันเพราะช่วงนี้ผมไม่ได้ออกไปเที่ยวถ่ายรูปที่ไหนเลย ด้วยเหตุที่โปรเจ็คยังคั่งค้างอยู่ ผมก็ไม่น่าจะเอาเอสดีการ์ดมาเสียบแล้วลืมคาไว้ในสล็อตอย่างนั้น และอีกอย่างนึงเอสดีการ์ดใบนี้ก็หน้าตาไม่คุ้นเลยเหมือนกับไม่ใช่ของผม เลยหยิบออกมาใส่ลิ้นชักไว้ก่อนค่อยสอบถามว่าใครเอามาเปิดดูที่เครื่องคอมฯ ของผม วันนั้นทีมงานก็ทำงานกันไปตามปกติ แต่ที่ไม่ ปกติก็คือไม่เห็นวี่แววของวิชิตจะมาทำงานเลย ก็ได้แต่คิดไปว่าน้องคงเดินทางเหนื่อยเลยอาจจะขอพักอีกซักวัน

คืนนั้นผมยังคงอยู่ที่ออฟฟิศเพื่อทำงานดึกอีกเช่นเคย แต่จู่ๆ ผมก็ได้กลิ่นแหนมกระดูกหมูทอดหอมหวลชวนชิมโชยมาเข้าจมูก แต่ก็เอะใจนึกได้ว่าในออฟฟิศของเรามันไม่มีกระทะไม่มีน้ำมันมีแต่เตาไมโครเวฟจะทอดได้ยังไงกันล่ะ เดินเข้าไปดูในครัวก็ไม่เห็นมีใครอยู่ แม่บ้านก็กลับไปตั้งแต่เย็นแล้ว เดินกลับมาก็เห็นเครื่องคอมฯ ของวิชิตถูกเปิดเอาไว้ สงสัยเครื่องจะถูกแสตนด์บายเอาไว้ตั้งหลายวันแล้วพร้อมกับหน้าจอสคริปโปรแกรมที่โชว์ค้างอยู่ เลยสั่งเซฟโปรแกรมแล้ว ชัทดาวน์เครื่อง แต่เครื่องก็ยังไม่ยอมปิดตัวเองลงซักที เหมือนมีบางโปรแกรมแฮงค์อยู่เลยปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นให้ระบบมันปิดตัวเองไปทีละโปรแกรมดีกว่า

พอกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานด้วยความสงสัยในหลายเรื่องราวแปลกๆ ช่วงสองวันนี้ก็เลยเอาเอสดีการ์ดอันนั้นมาเปิดดู มีไฟล์รูปภาพเป็นร้อยภาพแต่ดูเหมือนไฟล์จะติดไวรัสทำให้รูปภาพส่วนใหญ่เสียหาย จะดูได้ก็เป็นบางภาพแต่ก็ขาดๆ หายๆ จนดูไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร ผมก็นั่งคลิ๊กดูไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่วงท้ายๆ ก็มีภาพที่ดีๆ พอดูได้อยู่บ้าง มันเป็นภาพของอุบัติเหตุที่รถชนกันวินาศสันตะโร 10 คัน บนถนนมิตรภาพ กม.36 ช่วงทางลงมอกลางดงหน้า อสค . ซึ่งผมเองก็เห็นผ่านตามาบ้างในเฟซบุ๊คล้วก็ในข่าวหลายๆ ช่อง แต่ไม่ได้ให้สนใจซักเท่าไหร่


อ่านได้ตามลิ้งค์นี้ http://www.dailynews.co.th/Content/crime/159572/ชนวินาศถนนมิตรภาพ9คันไฟลุกคลอกตาย5ศพ

พลันสายตาก็ไปสะดุดเข้ากับภาพซากรถที่ถูกไฟไหม้จนเสียหายหมดทั้งคัน ในเนื้อข่าวบอกว่าเป็นรถบีเอ็มดับเบิ้ลยู ผมก็ใจหายวูบ รู้สึกเย็นวาบที่กลางสันหลังขนลุกชันมาถึงหลังหัว นั่งนิ่งตัวเกร็งคอแห้งผากปากชาขึ้นมาทันใด พร้อมกับรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาวิชิตในทันที ในใจก็ภาวนาขออย่าให้ลางสังหรณ์ของผมเป็นจริงเลยนะ ไม่มีสัญญาณตอบรับจากเลขหมายที่ท่านเรียก ผมพยายามโทรอีกหลายครั้งก็ยังคงเป็นเช่นเดิม โทรไปที่บ้านก็ไม่มีคนรับสายอีกเหมือนกัน ระหว่างที่พยายามโทรอยู่นั้นก็มีสายเรียกเข้ามาเป็นเบอร์แลนด์ไลน์ต่างจังหวัดผมกดรับสาย
"สวัสดีครับ ขอสายคุณต้อมครับ” เสียงดังจากปลายสายถามด้วยเสียงนิ่งๆ
"ครับผม กำลังพูดอยู่ครับ" ผมตอบไป
"ผมเป็นพ่อของวิชิตนะครับ จะโทรมาแจ้งว่าวิชิตประสบอุบัติเหตุที่กลางดงเสียชีวิตทั้งครอบครัวเมื่อค่ำวันเสาร์ที่ผ่านมา พรุ่งนี้จะทำบุญที่วัดอยากจะเรียนเชิญคุณต้อมครับ” เสียงจากปลายสายเริ่มสั่นเครือ
ผมตอบรับคุณพ่อของวิชิตแล้ววางสายพร้อมกับยืนนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่รู้สึกเหมือนกับโลกดับลงชั่วขณะ


Picture by http://board.postjung.com

ทุกเรื่องราวแปลกๆ ในช่วงสองวันนี้ก็เริ่มปะติดปะต่อเข้าหากันได้อย่างชัดเจนขึ้นมาในมโนภาพของผม ผมยังรู้สึกตัวอยู่ไม่ได้ฝันไป ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อว่านี่มันเป็นเรื่องจริง ผมหันกลับมาดูภาพบนหน้าจอที่ดูค้างอยู่อีกครั้ง พร้อมทั้งเลื่อนย้อนกลับไปดูไฟล์ช่วงต้นๆ ที่เสียอยู่ในตอนแรก แต่ตอนนี้กลับดูได้แล้ว มันเป็นภาพของวิชิตกับครอบครัวถ่ายไว้ที่วังน้ำเขียวเคียงคู่กับรถบีเอ็มดับเบิ้ลยูคันเก่งของวิชิต ผมก็เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมผมถึงได้ยินเสียงกระซิบ? ทำไมผมถึงได้กลิ่นแหนมกระดูกหมูทอด? และทำไมถึงมีเอสดีการ์ดเสียบคาอยู่ที่เครื่องคอมฯ? วิชิตได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับผมแล้ว

เอาล่ะผมเองก็คงได้เวลากลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปงานสวดอภิธรรมของครอบครัววิชิตที่โคราชในวันพรุ่งนี้เช่นกัน และก่อนที่จะออกจากออฟฟิศก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยปากบอกกับวิชิตว่า
"พี่ได้รับของฝากแล้ว ขอบคุณที่เที่ยวเผื่อพี่แล้วเอารูปมาให้ดูนะ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องโปรเจ็คหรอก แล้วก็เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะเข้าไปที่วัดไปงานของวิชิตนะ"

ผมปิดไฟดวงสุดท้ายในออฟฟิศ พร้อมกันกับเครื่องคอมฯ ของวิชิตก็ดับลงไปพร้อมๆ กัน

 

หมายเหตุ : เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งเติมขึ้นจากจินตนาการไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เพียงอ้างอิงมาจากเนื้อหาของ ข่าวที่ถูกนำเสนอต่อสาธารณะเท่านั้น ชื่อบุคคลและสถานที่ต่างๆ ในเรื่องเป็นเพียงชื่อที่ถูกสมมติขึ้นทั้งสิ้น ไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ต่อผู้สูญเสียแต่ประการใด

 

 

--- นายเมษา ---
5 กุมภาพันธ์ 2556

 

 

 

 

Remark :

เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกที่เขียนส่งงานในวิชาหลักการเขียนเชิงวารสารศาสตร์สำหรับสื่อประสม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 แต่เก็บไว้ใน Google Drive เท่านั้นไม่ได้เผยแพร่ที่อื่น โอกาสนี้จึงขอนำมารวบรวมไว้ด้วยกันที่นี่เพื่อความสะดวกในการค้นหาต่อไป

มหาวิทยาลัยรามคำแหง
วิชา MJR2202 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555
จัดทำโดย นายจิตตพล ทรงสว่าง เลขประจำตัวนักศึกษา 5454500207 คณะเทคโนโลยีสื่อสารมวลชน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น