กลับมาอีกครั้งหลังจากที่ตอนที่แล้วโม้มากไปหน่อย เลยยังไปไม่ถึงที่หมายเสียที หมดแรงซะก่อนต้องนอนชะอำไปเสียหนึ่งคืน เป็นรูปแบบการท่องเที่ยวแบบสโลว์ไลฟ์สบายๆ ทริปจริงจริ๊งงงง ตามสโลแกนประจำตัวผมที่ว่า “เที่ยวไปเรื่อย เมื่อยก็หยุด” (ฮ่าๆๆ ..)
มาต่อกันเลยดีกว่า อย่าได้ปล่อยให้ผมได้พร่ำ เพราะเดี๋ยวจะมัวแต่พาย่ำอยู่กับที่ โพสนี้จะพลอยยืดยาวกันอีก เขียนไม่ต้องจบกันพอดี ..
หลังจากที่เมื่อคืนเอาแบงค์ร้อยหนึ่งใบไปแลกปลาหมึกตัวย่อมๆ ขนาดประมาณฝ่ามือเด็กประถมมาได้สองตัว อร่อยปากสบายท้องนอนหลับปุ๋ยไปท่ามกลางสายฝนพรำกระทบหลังคาด้านหลังห้องพักเสียงดังจั่กๆๆ ฟังเพลินระเริงหูหลับคุดคู้จนตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นไม่ทันเลยพลาดไปอีกวันแล้วสิเรา ลืมตาตื่นมาก็เก้าโมงเช้ารีบจัดการธุระปะปังส่วนตัวให้เรียบร้อยเพราะวันนี้ผมมีหมายกำหนดการส่วนตัวเอาไว้ว่าจะต้องไปให้ได้สองที่แล้วจะกลับกรุงเทพฯ ในค่ำคืนนี้เลย จะมัวมาเถลไถลอยู่ไม่ได้มิฉะนั้นตารางเวลาที่วางไว้คงจะคลาดเคลื่อนไปจนผิดแผนแน่นอน ด้วยเหตุนี้เสบียงที่เตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานจึงถูกจัดการเป็นที่เรียบร้อยแบบรีบๆ คืนกุญแจรับมัดจำแล้วไปออกไปเก็บภาพทะเลตอนสายอีกสักนิด
แดดส่องฟ้าเป็นสัญญาวันใหม่ .. ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ ..
ทั้งที่แดดเปรี้ยงๆ .. แต่เค้าก็นอนหลบแดดอยู่ในซอกหินแบบสบายๆ .. / ปูลมตัวเล็กๆ เห็นเด็กๆ ชอบวิ่งไล่จับเอามาเล่นกัน .. ปล่อยไปเถอะครับ เพราะนี่คือหนึ่งในห่วงโซ่อาหารที่คัดสรรโดยธรรมชาติมาอย่างดีแล้ว
สายวันนี้แดดร้อนเปรี้ยงดีแท้ผิดกับเมื่อเย็นวานราวฟ้ากับเหว ออกสำรวจริมหาดท้าแดดลมของทะเลชะอำสักนิด จะได้หาข้อมูลการเดินทางไปพระราชนิเวศน์มฤคทายวันอันเป็นจุดหมายแรกของวันนี้จากคนพื้นที่สักหน่อย เพราะนี่เป็นการเดินทางไปเยี่ยมเยือนเป็นครั้งแรกของผมด้วยเลยต้องมีการสืบเสาะเคาะหาข้อมูลเพิ่มเติมสักนิดจนได้คนใจดีแถวนั้นช่วยกันบอกช่วยกันอธิบายด้วยความเป็นมิตรและไมตรีจิตให้กับนักเดินทางผู้โดดเดี่ยวเช่นผม จนได้ความว่าจากริมถนนใหญ่(ก็ถนนเพชรเกษมนั่นแหละ..) มีรถโดยสารประจำทางวิ่งระหว่างเพชรบุรีไปปราณบุรีมาเป็นระยะๆ แล้วก็ยังมีรถตู้โดยสารกรุงเทพฯ-หัวหิน-ปราณฯ ก็สามารถไปได้เหมือนกัน ไปลงที่หน้าค่ายฯ ได้เลย
หันมาจับปูตัวนี้แทนดีป้ะ ..? / ป้ายรถประจำทางครับ .. รอรถกันได้ที่นี่ ..
ผมกล่าวขอบคุณสำหรับการต้อนรับและความช่วยเหลืออย่างอบอุ่นจากชาวบ้านชะอำ พร้อมกล่าวคำอำลาและให้สัญญากับตัวเองว่าผมจะกลับมาเยี่ยมเยือนทุกคนที่นี่อีกครั้งเมื่อมีโอกาสอย่างแน่นอน จากนั้นเรียกพี่วินมอเตอร์ไซค์ที่จอดรออยู่แถวนั้นให้ช่วยไปส่งที่ป้ายรถประจำทางริมถนนใหญ่ด้วยสนนราคาที่ไม่น่าประทับใจต่างจากความรู้สึกที่ได้รับจากริมทะเลเมื่อสักครู่นี้โดยสิ้นเชิง แต่ไม่เป็นไรผมถือว่าต่างคนต่างหากินกันไปตามประสาแค่อารมณ์สะดุดเล็กน้อยเท่านั้น
รอรถอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง มีรถตู้มาครับแต่ผมอยากนั่งรถหวานเย็นที่วิ่งระหว่างอำเภอแบบนี้ จะได้อารมณ์และความรู้สึกที่แตกต่างออกไปนะครับ คนท้องถิ่นจะใช้บริการรถแดง(รถหวานเย็นที่ผมเรียกนั่นแหละครับ..)มากกว่า ผมสามารถจะสอดส่องเฝ้ามองชีวิตประจำวันของคนพื้นถิ่นได้อย่างใกล้ชิดมากกว่า ด้วยความที่รถประจำทางแบบนี้จะวิ่งค่อนข้างช้าไม่รีบเร่ง โอกาสที่จะได้ซึมซับบรรยากาศโดยรอบจะมีมากกว่า มีชาวบ้านขึ้น-ลงตลอดทางทำให้ได้เจอได้พบปะพูดคุยกับผู้คนมากหน้าหลายตา ได้แลกเปลี่ยนสื่อสารปฏิสัมพันธ์ต่อกันเป็นการเรียนรู้บางสิ่งที่ไม่ได้มีโอกาสได้พบเห็นจากในหนังสือหรือตำราทางวิชาการเล่มหนาที่ผู้แต่งตั้งใจเขียนให้อ่านด้วยภาษาไทยที่แม้จะแปลเป็นไทยอีกรอบก็ยังเข้าใจยากอยู่เช่นเดิม(ฮา ..)
รถหวานเย็นของผมจอดนิ่งสนิทเลยค่ายไปนิดเพราะเข้าใจผิดคิดว่าผมจะไปลงค่ายทหาร แต่พระราชนิเวศน์ฯ ตั้งอยู่ในค่ายพระรามหก อันเป็นค่ายตำรวจตระเวณชายแดนต่างหาก เดินย้อนกลับมานิดหน่อยพอเรียกเหงื่อซึมๆ เปียกเสื้อจากอากาศที่เริ่มร้อนอบอ้าวของแดดที่แรงขึ้นตามตำแหน่งที่ลอยสูงขึ้นของดวงอาทิตย์ เดินผ่านป้อมรักษาการณ์เข้าไปถามเจ้าหน้าที่ว่าจะเข้าไปอย่างไร คำตอบที่ได้คือเดินครับ ผมลองวัดระยะทางจากกูเกิ้ลแมพได้ประมาณ 3.5 กิโลเมตรครับ พอเดินได้สบายๆ เพราะมีต้นไม้ตลอดทาง ร้อนบ้างร่มบ้างคละเคล้ากันไปได้อรรถรสการเดินทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจที่หน่วยรักษาการณ์ด้านหน้าแนะนำว่าถ้าเดินๆ ไปเจอรถกระบะของเจ้าหน้าที่ก็ขอติดรถไปลงข้างในก็ได้ครับ
ด้านหน้าทางเข้าพระราชนิเวศน์ฯ ครับ .. (ภาพจาก Official facebook ของค่ายพระรามหก)
มีป้ายบอกตลอดทางครับ ../ หนทางยังอีกยาวไกล .. มองยังไม่เห็นปลายทาง ..
ข้ามสะพานพระรามหก(2) .. / เดินตามป้ายไปอีกนิดเดียวก็ถึงแล้วครับ ..
ผมเลือกที่จะเดินเข้าไปเพื่อจะได้เก็บภาพบรรยากาศตามรายทางและฝึกความอึกถึกทนของสภาพร่างกายไปในตัวด้วย ใช้เวลาเดินประมาณครึ่งชั่วโมงเพราะแวะถ่ายรูปไปเรื่อยตามประสาคนบ้าเที่ยวถ่ายรูปอย่างผม สุดท้ายก็เดินมาถึงทางเข้าพระราชนิเวศน์จนได้ในเวลาประมาณสิบเอ็ดโมงเศษๆ ซื้อบัตรผ่านประตูกันก่อนแล้วเดินต่อเข้าไปอีกประมาณสอง-สามร้อยเมตรก็จะเจอกับป้ายทางเข้าที่เขียนว่า “มฤคทายวัน” มุมมหาชนที่ทุกคนจะต้องมาเก็บภาพตัวเองกับป้ายนี้เอาไว้เป็นที่ระลึก
ทางเข้าด้านหน้าครับ .. ซื้อบัตรผ่านประตูเข้าไปแล้ว ยังต้องเดินต่อไปอีกสักสองร้อยเมตรครับจะเจอมุมมหาชน ..
มุมมหาชน .. ที่ทุกคนต้องไม่พลาดเก็บภาพสวย .. “มฤคทายวัน”
สำหรับใครที่พกกล้องมาถ่ายภาพก็ให้เดินเลยป้ายที่ว่านี่ไปอีกนิด ตรงเข้าไปที่ศาลาด้านซ้ายมือเพื่อเขียนใบลงทะเบียนกล้องกันเสียก่อนนะครับ แล้วค่อยย้อนกลับมาเข้าไปสู่อดีตกาลกับพระราชนิเวศน์แห่งความรักและความหวัง ภาพแห่งจินตนาการของอดีตอันงดงามของเหล่าเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ที่เคยเสด็จมาถวายงานให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรีอันเป็นที่เคารพรักของปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า
ผมมีตำนานเกี่ยวกับพระราชนิเวศน์แห่งนี้มาฝากกันด้วยครับ
พระราชนิเวศน์แห่งนี้มีตำนานที่เล่าขานต่อๆ กัน สืบเนื่องมาจากเมื่อคราวที่พระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจีทรงพระครรภ์นั้น พระมหาธีรราชเจ้าทรงพระเกษมสำราญยิ่งด้วยทรงมุ่งหวังว่าจะทรงมีพระราชปิโยรส แต่ความหวังทั้งมวลก็สิ้นสลายเมื่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ ไม่สามารถมีพระประสูติกาลได้ ยามนั้นพระองค์ท่านทรงอภิบาลพระมเหสีด้วยน้ำพระทัยเป็นห่วงและเศร้าสร้อย ณ พระที่นั่งสมุทรพิมานแห่งนี้ อย่างไรก็ดีพระราชนิเวศน์ยังเป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงบังเกิดพระราชประดิพัทธ์ในความรักครั้งต่อมากับคุณสุวัทนา ซึ่งต่อมาทรงสถาปนาเป็นเจ้าจอมสุวัทนาและพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ตามลำดับ ได้เสด็จพระราชดำเนินมาประทับ ณ พระราชนิเวศน์มฤคทายวันพร้อมด้วยพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี ซึ่งมีพระครรภ์พระหน่ออีกครั้งระหว่างวันที่ 12 เมษายน ถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2468 การเสด็จครั้งนี้เสมือนหนึ่งการเสด็จมาเพื่ออำลาพระราชนิเวศน์ที่ทรงรักโดยแท้ เพราะเมื่อเสด็จกลับพระนคร อีก 5 เดือนพระนางเจ้าสุวัทนาฯ ประสูติพระราชธิดาแล้ว วันรุ่งขึ้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคต
พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ตั้งอยู่ในบริเวณค่ายพระรามหก ตำบลห้วยทรายเหนือ ถนนเพชรเกษม บริเวณกิโลเมตรที่ 216-217 เลยหาดชะอำมา 8 กิโลเมตร เป็นพระตำหนักที่ประทับริมทะเลซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้รื้อพระตำหนักหาดเจ้าสำราญมาปลูกขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ.2466 ได้รับขนานนามว่า “พระราชนิเวศน์แห่งความรักและความหวัง” ลักษณะเป็นพระตำหนักแบบไทยผสมยุโรป เป็นอาคารไม้ใต้ถุนสูง สร้างด้วยไม้สักทอง
พระตำหนักฝ่ายในอยู่ปีกขวา ทางปีกซ้ายเป็นส่วนของฝ่ายหน้า ประกอบด้วยพระที่นั่งสามองค์เชื่อมต่อถึงกันโดยตลอด
พระที่นั่งสมุทรพิมาน เป็นที่ประทับของพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี พระวรชายา
พระที่นั่งพิศาลสาครเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีอาคารข้าราชบริพารฝ่ายหน้าเป็นบริวารหลายหลังและมีแนวระเบียงยื่นลงสู่ทะเลเป็นที่ลงสรงน้ำ
และพระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ เป็นอาคารโถงสองชั้นเปิดโล่งใช้เป็นที่ประชุมในโอกาสต่าง ๆ และเป็นโรงละครซึ่งเคยจัดแสดงละครครั้งสำคัญ 2 ครั้งคือเรื่องพระร่วงและวิวาห์พระสมุทร
ในปี พ.ศ.2484 เจ้าพระยารามราฆพ ได้สร้างพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ถวายเป็นพระราชานุสรณ์ประดิษฐานไว้ ณ ท้องพระโรงพระราชนิเวศน์มฤคทายวันและได้จัดงานบำเพ็ญพระราชกุศลถวายเป็นพระราชสักการะเนื่องในวันที่ระลึกคล้ายวันสวรรคตของพระองค์ในวันที่ 25 พฤศจิกายน เป็นประจำทุกปี
พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เปิดให้เข้าชมวันจันทร์-วันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.00-16.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดราชการ ตั้งแต่เวลา 08.30–16.00 น. ปิดวันพุธ ค่าเข้าชมผู้ใหญ่ 30 บาท เด็ก 15 บาท ชาวต่างประเทศ 30 บาท สำหรับผู้เข้าชมเป็นหมู่คณะต้องทำหนังสือถึงผู้กำกับการกองบังคับการฝึกพิเศษ ค่ายพระรามหก อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี โทร.0 3250 8444-5, 0 3250 8039
เดินชมความงดงามของสถาปัตยกรรมไทยผสมยุโรปที่กลมกลืนกันได้อย่างลงตัว ..
ได้สดับรับฟังตำนานเล่าขานนานมาจากปากต่อปาก จากรุ่นสู่รุ่น ก็สมชื่อแล้วกับที่เป็นพระราชนิเวศน์แห่งความรักและความหวัง เพราะเป็นอนุสรน์แห่งความรักและความหวังขององค์ธีรราชเจ้า รัชกาลที่ 6 นั่นเอง เอาล่ะผมจะพาย้อนสู่อดีตกาลเพื่อเข้าไปเยี่ยมชมพระราชวังฤดูร้อนที่ครั้งหนึ่งเคยมีข้าราชบริพารทั้งฝ่ายในและฝ่ายหน้าต่างเดินกันไป-มาขวักไขว่ในห้วงเวลาที่ย้อนกลับไปเกือบร้อยปี ความงดงามอ่อนช้อยแห่งสถาปัตยกรรมแห่งนี้ที่ยังคงรักษาไว้ให้คนไทยรุ่นหลังได้ภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ไทยที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัวที่สุด
จากตรงนี้ผมขอเล่าเรื่องด้วยแคปชั่นใต้ภาพดีกว่า เพื่ออรรถรสในการรับชมที่จะได้ไม่ต้องสะดุดขาดตอนจากสำนวนเชยๆ ของผม(ฮ่าๆๆ ..)
อ่านประวัติของพระราชนิเวศน์ฯ กันสักหน่อย .. เอาไว้ประดับความรู้ครับ ..
จัดนิทรรศการกันอยู่ .. มาถึงทั้งทีมีหรือที่ผมจะพลาด .. ต้องขอเข้าไปดูสักหน่อยล่ะ..
พระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ในพระอิริยาบทต่างๆ ..
ห้องจัดแสดงนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ..
ทรงพระเจริญ … /|\ …
ออกมาเดินกินลม(ทะเล)ชมวังกันสักหน่อย ..
นั่งเหงาๆ กับตัวเราคนเดียว .. / สวนสวยที่จัดเอาไว้อย่างงดงาม แต่ละสวนมีชื่อต่างๆ กันนะครับ .. คลิ๊กเพื่อดูข้อมูลเพิ่มเติม
วันที่ผมไป .. ศาลาลงสรงกำลังปรับปรุงซ่อมแซมอยู่ เลยพลาดโอกาสเข้าไปชมเลย ..
ชอบบรรยากาศแบบนี้จัง .. เหมือนได้ย้อนไปอยู่ในอดีตจริงๆ ..
ปิดไว้ไม่ให้ขึ้น .. ถ้าจะขึ้นต้องเอาแจ้งเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านในก่อนครับ เพราะพระที่นั่งแต่ละองค์มีอายุร่วมร้อยปี เพื่อความปลอดภัยของตัวอาคาร, สิ่งก่อสร้างและตัวนักท่องเที่ยวเอง เจ้าหน้าที่จึงจัดให้ขึ้นชมได้เป็นรอบโดยจำกัดจำนวนคนที่จะขึ้นไปชมด้วย .. / สุดทางคือศาลาลงสรง ที่ตั้งอยู่บนชายหาดเลยครับ ..
หากมีความประสงค์จะขึ้นชมบนตัวพระที่นั่ง .. ต้องรับบัตรคิวและขึ้นเป็นรอบๆ ไปครับ และที่สำคัญห้ามถ่ายภาพด้านบนพระที่นั่งโดยเด็ดขาด กรุณาให้ความร่วมมือกันด้วยนะครับ
เดินต่อไปยังศาลาลงสรงไม่ได้ .. ทางนี้ปิดปรับปรุง .. / จุดคืนถุงสำหรับใส่รองเท้าที่เค้าจะแจกให้ใส่รองเท้าของเราแล้วสะพายติดตัวไปด้วย เพราะทางขึ้นกับทางลงจะเป็นคนละทางกัน
พระที่นั่งทั้งสามของพระราชนิเวศน์ครับ .. อยากรู้ไม๊ว่าชื่ออะไรบ้าง? .. คลิ๊กตามไปอ่านกันเลยครับ ..
บริเวณอาคารที่จัดนิทรรศการ .. / สงบ ร่มรื่น สบายตาสบายใจจริงๆ ..
ผมออกจากพระราชนิเวศน์ราวๆ บ่ายสามโมงเศษๆ เพราะต้องใช้เวลาเดินกลับออกมาอีกประมาณครึ่งชั่วโมง พร้อมกับเมฆฝนที่ตั้งเค้าดำทมึน ลอยต่ำอยู่เรี่ยๆ ยอดไม้ ผมเดินมาจนเหลืออีกประมาณห้าร้อยเมตรจะถึงทางออก ก็ต้องเปลี่ยนจากเดินเรื่อยๆ มาเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพราะลมฝนเริ่มพัดแรงขึ้นราวกับพายุกำลังจะเข้า จนกระทั่งถึงสามร้อยเมตรสุดท้ายก็กลายเป็นวิ่งอย่างทุลักทุเล สะพายเป้หนึ่งใบกระเป๋ากล้องอีกหนึ่งใบสับขาอย่างเต็มกำลังฝ่าสายฝนที่เริ่มลงเม็ดหนักขึ้นอย่างรวดเร็วแบบไม่ทันให้ตั้งตัว
จุดหมายคือศาลาสองหลังทางขวามือติดกับทางออก กว่าจะวิ่งไปถึงก็เล่นเอาเปียกมะล่อกมะแล่กไปตามๆ กัน ลมก็ช่างพัดรุนแรงเสียเหลือเกิน พาเอาสายฝนสาดโครมๆ เข้ามาในศาลาจนแทบจะไม่เหลือที่แห้งตรงไหนอีกแล้ว ผมนั่งกอดกระเป๋ากล้องที่ถูกคลุมด้วยถุงพลาสติกของ 7-11 สองใบไว้ทั้งบน-ล่างแล้วผูกให้แน่น จากนั้นก็มีสองหนุ่มชาวต่างชาติคาดว่าเป็นนักท่องเที่ยวขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาจากด้านในเข้ามาหลบฝนที่ศาลาด้วยเหมือนกัน
ผ่านไปราวๆ เกือบหนึ่งชั่วโมงฝนถึงเริ่มซาเม็ดลง การเดินทางของผมจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง ถึงเวลาต้องบอกลาพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน ทิ้งอดีตที่แสนเศร้าเอาไว้เบื้องหลังให้ยังคงเป็นตำนานแห่งความรักและความหวังที่เหลือไว้เพียงทรงจำให้เล่าขานกันสืบไปชั่วลูกชั่วหลาน
ยังเหลืออีกหนึ่งที่หมาย ขออนุญาตยกไปโพสหน้าก็แล้วกัน ผมจะพาทุกท่านกลับสู่ปัจจุบันกับที่เที่ยวสุดชิคของหัวหินที่ทุกคนต้องรู้จักกันครับ
คลิ๊กเพื่อชมภาพของทริปนี้ครับ
เก็บตกของแถม .. เอาไว้เป็นความรู้ครับ ..
มฤค, มฤค- [มะรึก, มะรึกคะ-] น. สัตว์ป่ามีกวาง อีเก้ง เป็นต้น, ถ้าเป็นตัวเมีย ใช้ว่า มฤคี. (ส.; ป. มิค).
เขียนโดย : Tombass
เขียนเมื่อ : วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม 2558 เวลา 4:31น.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น