วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
20130710-11 จากมฤค .. ไปเพลินวาน .. รำลึกวันวานในกาลปัจจุบัน ..
โพสนี้เป็นภาคต่อของ แบกเป้ลุยเลฯ ทั้งสองตอนที่ผ่านมา ผมทิ้งท้ายตอนที่สองค้างเอาไว้เมื่อตอนฝนหยุดตกที่หน้าค่ายพระรามหก ชีวิตยังคงต้องระหกระเหินเดินทางท่องเที่ยวกันต่อไปตามแผนการที่วางเอาไว้ให้ลุล่วง พระพิรุณจากไปแล้วแต่ดวงอาทิตย์ที่ยังแอบหลบอยู่หลังก้อนเมฆก็ยังพยายามสาดแสงสีทองเป็นลำเรืองสวยสดงดงามแหวกผ่านกลีบเมฆที่บดบังอยู่นั้นออกมาจนได้
ผมออกมายืนรอรถหวานเย็นเช่นเดิม ยังคงยึดมั่นเจตนารมณ์เดิมไม่เปลี่ยนแปลงในการเข้าถึงชาวพื้นถิ่นอย่างใกล้ชิดด้วยการปฏิบัติตามวิถีแห่งชุมชนที่คนท้องถิ่นเป็นอยู่ คราวนี้ใช้เวลาไม่นานนัก ก่อนจะเข้าเขตพลุกพล่านย่านการค้าเต็มรูปแบบของหัวหินนิดหน่อยก็เห็นเพลินวานตั้งตระหง่านอยู่ริมถนนฝั่งขาเข้ากรุงเทพฯ รถจอดส่งผมลงตรงข้ามกับเพลินวานพอดิบพอดี แต่การข้ามถนนที่นี่ไม่ใช่งานง่ายๆ นะครับ นอกจากต้องระวังรถเล็กใหญ่ที่วิ่งขึ้นล่องไปมาแล้ว พอเห็นว่ารถทางขวาว่างแล้วก็อย่าเพิ่งทะเล่อทะล่าวิ่งออกมานะครับ เพราะอาจจะเจอเข้ากับบรรดามอเตอร์ไซค์ที่วิ่งย้อนศรจากทางซ้ายมาชนกับเราได้ เพราะฉะนั้นมองขวาแล้วอย่าลืมมองซ้ายอีกทีก่อนด้วยนะครับ
หลังจากเล่นหลอกล่อเอาเถิดกับรถใหญ่ทางขวาและมอเตอร์ไซค์ทางซ้ายกันอยู่สักพัก ผมก็ข้ามถนนไปเพลินวานได้โดยปลอดภัย ยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกามันบอกเวลาสี่โมงกว่าแล้วนี่ แดดร่มลมตกแบบนี้อีกสักพักก็คงจะมีประชาชนคนท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเที่ยวชมเพลินวานกันอย่างเนืองแน่นในไม่ช้า ผมเลยรีบจ้ำอ้าวเข้ามาเก็บภาพสวยก่อนที่มุมดีๆ จะมีแต่หัวดำๆ มิหนำซ้ำยังจะมีกรุ๊ปทัวร์ชาวต่างชาติฝั่งเอเชียของรานี่ล่ะที่จะมาส่งเสียงโล้งเล้งโป้งเป๊งเดินกันให้ขวักไขว่จนคุณไม่รู้จะหาเหลี่ยมไหนแอบไปถ่ายภาพกันเลยทีเดียว(ฮา..)
ประกาศ .. ช่วยกันสนับสนุนสินค้าของแท้ด้วยนะครับ .. / ผมมาถึงก็เย็นๆ แล้ว .. แต่ดีที่คนก็ยังไม่หนาแน่นเท่าไรนัก ..
เข้าไปถึงก็เห็นร้านรวงต่างๆ เพิ่งจะจัดจะตั้งกันยังไม่เรียบร้อยดีเท่าไหร่ พาลให้เกิดความสงสัยว่ากลางวันนี่เค้าไม่ค้าไม่ขายกันบ้างหรืออย่างไร ปรากฎว่าเดินตรงเข้าไปอีกหน่อยถึงได้รู้ว่าร้านข้างในขายกันอยู่ตลอดวัน บางร้านก็เป็นที่นั่งดื่มนั่งสังสรรค์ก็คงจะขายไปยันดึกยันดื่นครึ่งค่อนคืนยังไม่ยอมเลิกกันเลยมั๊ง หลังจากเดินสำรวจเล็งมุมที่ต้องการเอาไว้ รอแสงไฟที่เค้าจะเปิดในตอนค่ำ ก็สังเกตเห็นแบตไอโฟนเจ้ากรรมกำลังจะหมด หากไม่ชาร์จให้เต็มไว้คืนนี้ขากลับถ้าหากเกิดเหตุฉุกเฉินอันใดก็จะพาลให้ติดต่อขอความช่วยเหลือใดๆ จากใครๆ ไม่ได้เป็นแน่แท้ เหลือบไปเห็นร้านกาแฟเลยปรี่เข้าไปหาอะไรดื่มแก้ง่วงสักแก้ว เต็มน้ำตาลในเลือดสักนิด ชีวิตจะได้สดชื่น ร่างกายจะได้ตื่นตัว
หน้าร้านกาแฟเพลินวาน .. / น่านั่งชิลล์มากๆ .. ยิ่งถ้าแดดร่มลมตก ร้านค้าด้านในเปิดไฟทั้งหมดแล้วยิ่งเพลิน(เมื่อ)วานกันในวันนี้แหละ ..
มีทั้งร้อน-เย็นให้เลือกสรร .. ชื่อเมนูดูมีสไตล์ ยูนีคสุดๆ .. / จะมื้อเบาแบบกินเล่นๆ หรือมื้อหนักแบบกินจริงๆ ก็มีให้สั่งกินกันอย่างครบครัน .. / บรรยากาศลายไม้แบบเก่าผสมความโมเดิร์นทันสมัย .. มันลงตัวกันได้แบบไม่ขัดหูขัดตา .. พาให้นั่งกันเพลินตั้งแต่วันวานจนวันนี้ก็ไม่มีเบื่อ ..
กาแฟรสชาติเข้มเสิร์ฟกับแพ็คเกจย้อนยุค .. ดูมีเอกลักษณ์ ..
ได้เอสเพรสโซเย็นรสชาติเข้มข้นๆ มาหนึ่งแก้ว พร้อมกับขออนุญาตน้องๆ สองหนุ่มชาร์จแบตโทรศัพท์สักชั่วโมงก่อนค่อยออกไปเดินเล่นด้านใน นั่งได้แป๊บเดียวฝนก็ลงเม็ดอีกครั้ง ระหว่างรอก็เลยเอากล้องออกจากถุง 7-11 มาเช็ดมาถูทำความสะอาดสักหน่อยหลังจากที่ไปกรำฝุ่นลุยฝนมาด้วยกันที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน(ในแบกเป้ลุยเลฯ ตอนที่สองนั่นแหละ ..) เอาภาพมาเปิดดูไปเรื่อย เลยขอถ่ายรูปสองหนุ่มหล่อใจดีแห่งร้านกาแฟเพลินวานไว้เป็นที่ระลึกและสัญญาว่าจะส่งรูปไปให้ จนทำให้เราได้เป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊คอยู่จนถึงทุกวันนี้ ดีใจที่ได้เพื่อนใหม่อีกสองคนครับ
เก้าอี้ไม้ .. ได้บรรยากาศเรโทรจริงจร๊งงงง .. ชอบจังเลยแบบเนี๊ยะ .. / กระเป๋ากล้องของผม .. ต้องพาหนีฝนไปหลบในถุง 7-11 ..
เพื่อนใหม่ของผมในวันนั้นครับ .. สองหนุ่มหล่ออัธยาศัยดี มีใจรักการบริการ ..
จากการสำรวจข้อมูลพื้นฐานทางภูมิศาสตร์ของเพลินวาน พื้นที่ร้านค้าจะมีอยู่สามชั้น ที่เราเดินเข้าไปจากข้างหน้าทางเข้านั้นจะเป็นชั้นสอง เดินเข้ามานิดนึงจะมีบันไดขึ้นไปชั้นสามที่ส่วนใหญ่เป็นบริเวณของร้านค้าสำหรับคนชอบดื่ม แต่ถ้าเราไม่ขึ้นบันไดตรงนี้ เดินเลยเข้าไปจะพบกับสะพานอยู่ด้านซ้ายเพื่อเข้าไปสู่ตลาดเพลินวานและบันไดทางลงไปชั้นล่างอยู่ด้านขวาซึ่งจะลงไปสู่ส่วนที่เรียกว่า “ตรอกวานซืน” นั่นเอง หากเราไม่ลงบันไดตรงนี้แต่เลือกเดินข้ามสะพานไปก็จะเดินผ่านร้านค้าร้านอาหารเรียงรายไปตลอดสองฝั่งโดยมีสะพานข้ามไปมาได้ และหากเดินไปจนสุดทางก็จะมีทางลงไปสู่ลานเพลินที่สามารถเดินทางจากชั้นล่างก็ได้เหมือนกัน
มาดูด้านหน้ากันก่อน .. เดินเข้ามาก็จะเจอโซนนี้ก่อนเลย ..
ตรงไปก็จะพบกับสะพานและบันได .. คุณเลือกได้ว่าจะไปทางไหน ..?
บริเวณลานเพลินนี้ก็จะจัดเป็นแบบงานวัด มีชิงช้าสวรรค์ ปาลูกโป่ง ยิงเป้าเอาตุ๊กตา ฉายหนังกลางแปลง ชวนให้นึกถึงบรรยากาศเมื่อครั้งที่ผมยังเป็นเด็กอยู่ที่บ้านนอก ชอบที่สุดเวลาวัดจัดงานบุญหรือเวลามีหนังขายยามาฉายให้ดูกันฟรีๆ ที่สนามหน้าอำเภอ ผมกับเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกันก็จะพากันหอบเสื่อหอบหมอนไปนอนดูหนังกัน รถเข็นขายผลไม้ดอง ลูกชิ้นปิ้งที่มีตะเกียงน้ำมันแบบกระป๋องใบเล็กกับยากันยุงแท่งกลมยาวใส่กระบอกสังกะสีที่มีขดลวดสปริงอยู่ด้านในเอาไว้ใส่ยากันยุงที่กำลังพ่นควันโขมงส่งกลิ่นฉุนที่คุ้นเคยลอยตลบอบอวลคละคลุ้งเคล้ากับกลิ่นไอน้ำมันจากตะเกียงอันเป็นเอกลักษณ์ที่หาไม่ได้ที่ไหนอีกแล้ว เมื่อก่อนการไปเที่ยวงานวัดหรือไปดูหนังกลางแปลงนั้น มีเงินไปแค่คนละห้าบาทก็ซื้อนู่นนี่นั่นแบ่งกันกินได้จนหนังฉายจบไปหลายเรื่อง บางคนก็นอนเล่นนอนคุยกันไปท่ามกลางแสงไฟและเสียงแผ่นฟิล์มตีกับตะแกรงเหล็กของม้วนฟิล์มจากเครื่องฉายหนังดังครึ่กครั่กจนผลอยหลับกันไปได้ยังไงก็ไม่รู้
ลานเพลิน .. เพลิดเพลินกับเกมการละเล่นสารพัดสารพัน .. เลยเล่นกันเพลินจนกระเป๋าตังค์แฟบได้แบบไม่ทันตั้งตัว ..
มาม๊ะ .. เล่นอะไรกันก่อนดีล่ะ ..?
บริเวณปากตรอกวานซืน .. เป็นลานกว้างใช้จัดกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ได้ดี ..
และก็เป็นเอกลักษณ์ของหนังขายยาที่เวลาฉายไปสักครึ่งเรื่อง พอถึงตอนเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร เป็นต้องหยุดฉายเปิดไปสว่างโร่ พร้อมเสียงโฆษกประจำรถออกมาโฆษณาสรรพคุณของยาหรือเครื่องดื่มชูกำลังของเจ้านั้นๆ พร้อมโปรโมชั่นลดแหลกแจกแถมจนหลายคนหลงเคลิ้มซื้อกันไปคนละกล่องสองกล่อง ผู้ใหญ่หลายคนก็ช่วยๆ กันซื้อให้หมดๆ ไปจะได้ดูหนังกันต่อได้สักที ภาพความทรงจำแบบนี้คนรุ่นใหม่ไม่เคยได้เห็นได้รู้จักกันอีกแล้ว และที่เพลินวานนี่ก็พยายามจำลองภาพเหตุการณ์แบบนั้นที่คนในยุค Gen Y ไม่เคยเห็นให้ได้มาตื่นเต้นกับวันวานในกาลเวลาแห่งปัจจุบันนั่นเอง
หนังขายยาครับ .. ใครเคยได้ดูกันบ้างเอ่ย ..?
เอาล่ะ .. แบตเต็มพอดีเมื่อยามฝนซา พอดีกับเวลาเคารพธงชาติตอนเย็นได้ผ่านพ้นไป กล่าวลาเพื่อนใหม่แล้วออกไปย้อนยุคปลุกเร้าความเป็นเด็กที่แอบซ่อนในซอกเล็กๆ หลืบหนึ่งในความทรงจำเพื่อดื่มด่ำกับภาพจำลองของวันวานของค่ำคืนที่คุ้นเคย ภาพรอยยิ้มเล็กๆ ของเด็กชายตัวน้อยที่กำลังฉุดกระชากลากมือของผู้เป็นแม่อย่างเร่งรีบให้เข้าไปในร้านโชว์ห่วยที่เป็นห้องแถวไม้เก่าตั้งอยู่กลางตลาดในย่านการค้าของอำเภอเล็กๆ ในจังหวัดหนึ่งที่ขอบด้านล่างของคมขวานทอง
พลางชี้มือเล็กๆ ไปที่ของเล่นอย่างหนึ่งที่สมัยผมเป็นเด็กเราเรียกกันว่าลูกโป่งวิทยาศาสตร์(แต่สมัยนี้ไม่รู้เรียกว่าอะไร) ที่เวลาจะเล่นก็ต้องคลายพับทางด้านท้ายหลอดบรรจุที่ทำจากสังกะสีแล้วเอาฟันกัดมุมให้ฉีกออกเล็กน้อย จากนั้นบีบตัวน้ำยาซึ่งมีลักษณะเหนียวหนืดกลิ่นหอมฉุนออกมา แล้วเอาปลายหลอดที่แถมมานั้นไปม้วนพันด้วยน้ำยาให้รอบพอประมาณ ขั้นตอนต่อไปนี่เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะลืมไม่ได้เลยทีเดียวก็คือต้องเอาหลอดที่พันน้ำยาแล้วนั้นเข้าไปในปากเพื่อให้น้ำลายช่วยเป็นตัวประสาน จากนั้นก็เป่าที่ปลายหลอดอีกด้าน ตัวน้ำยาจะขยายตามแรงลมที่เป่าของเราจนพองขึ้นกลายเป็นลูกโป่ง หากตรงไหนรั่วก็เอานิ้วมือสองนิ้วบีบตรงรอยแตกเข้าหากันมันจะยึดติดกันเอง เคยแข่งกันกับเพื่อนๆ ว่าใครจะเป่าลูกโป่งได้ใหญ่ที่สุด มันเป็นความสนุกในวัยเด็กที่นึกถึงครั้งใดก็อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ทุกที ไม่รู้ว่ามีใครเคยเล่นแบบผมบางหรือเปล่า..?
ยามเมื่อหลอดไฟนับพันได้ส่องสว่าง .. เพลินวานก็เผยความสวยมีเสน่ห์ในแบบฉบับของตัวเอง .. แม้จะไม่ได้กลิ่นอายในวันเก่าๆ กลับมาทั้งหมด แต่ก็กระตุกความทรงจำของผมให้พริ้งเพริดบรรเจิดขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็น ..
ถูกใจร้านของเล่นนี่แหละ .. อยากจะซื้อกลับไปนั่งเล่นคนเดียวที่บ้านซะทั้งหมดนี่เลย .. จะได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ..
นึกถึงยุค 2499 อันธพาลครองเมืองจริงๆ แฮะ .. อารมณ์มันได้ก็ไอ่ตรงรถคันที่จอดอยู่นี่แหละ .. / แวะเข้าไปเล่นชิงช้าสวรรค์กันสักหน่อยดีป้ะ ..?
ออกนอกเรื่องไปซะไกลเลย พอได้ย้อนยุคไปกับเพลินวานก็พาลนึกย้อนไปถึงตอนสมัยเป็นเด็กซะอย่างนั้น ก็พอเห็นร้านของเล่นอารมณ์สนุกสนานก็เลยพาลกลับมาชวนความเป็นเด็กให้ตื่นขึ้น มีของเล่นหลายๆ อย่างที่เด็กบ้านนอกอย่างผมชอบเล่น ตัวอย่างเช่น ไข่พลาสติกที่ต้องหยอดเหรียญแล้วหมุนๆ ในไข่ก็จะมีแหวนเล็กๆที่ทำจากลวดบ้าง แหวนพลาสติกสีสวยๆ บ้าง แล้วก็ยังมีหมากฝรั่งที่ทำเป็นรูปบุหรี่ หรือจะเป็นของเล่นสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างตุ๊กตากระดาษพร้อมชุดสีสวยให้เปลี่ยนเล่นได้ โอ๊ยยย .. ของเล่นอื่นๆ อีกจิปาถะ มันเยอะซะจนอยากจะซื้อกลับมาเล่นอีกสักรอบจริงๆ เนี่ยะ
ชอบจัง .. เก้าอี้ไม้แบบที่เห็นตามสถานีรถไฟ .. มันได้อารมณ์ย้อนยุคจริงๆ .. / ขนมไทยๆ หาซื้อกินได้ที่นี่ ..
คอเพลงเก่าก็มีให้เลือกซื้อกลับไปฝากคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะ .. / เครื่องดนตรีก็มีขายจ้ะ .. / ขนมปัง .. ก็ขนมปังนั่นแหละ .. ไม่รู้จะเขียนแคปชั่นยังไง .. ฮ่าๆๆ
ข้าวปลาอาหารทั้งหวานคาว .. ขนูกขนมสารพัดให้เดินเลือกซื้อกินกันไม่หวาดไม่ไหว .. ไม่อ้วนก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้วล่ะครับ ..
จากของเล่นก็มาถึงของกินกันบ้าง ขนมเบื้อง ขนมครก ขนมถังแตก ขนมปังสารพัดชนิด ร้านข้าว ร้านก๋วยเตี๋ยว สุกี้ ราดหน้า น้ำแข็งไส เลยไปจนถึงร้ายขายเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แว่นตา ร้านนาฬิกา ร้านถ่ายรูป ร้ายขายแผ่นเสียง/ซีดี(สมัยก่อนมันมีแผ่นซีดีด้วยเร๊อะ) ร้ายขายเครื่องดนตรี ย้อนกลับไปด้านหน้าก็มีรถคีออสเรียงรายขายสารพัดโดยมากก็เป็นเสื้อผ้า กระเป๋า กิฟท์ช๊อป กล้วยทอด น้ำตาลปั้น ไอศครีมกระทิสด ฯลฯ
วันนี้ท้องฟ้าไม่สวยเพราะฝนเพิ่งจะหยุดตก .. แต่ชอบรถคันนี้เลยขอเก็บภาพเอาไว้สักหน่อย ..
เข้าไปถ่ายรูปกัน .. เค้ามีชุดให้เปลี่ยนแบบนี้ด้วยนะ .. ใครคลั่งไคล้ เดอะ บีทเทิ่ล ต้องไม่พลาดครับ ..
ช๊อตเด็ดของด้านหน้าคงหนีไม่พ้น “น้ำมะเน็ต” เครื่องดื่มรสซ่าแบบไทยๆ ในสมัยคุณพ่อคุณแม่ยังเป็นวัยรุ่น ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเพี้ยนเสียงมาจากคำว่า “เลมอนเนต” ในภาษาอังกฤษเสียมากกว่า เป็นน้ำหวานสีสันสดใสหลากหลายรสชาติในโถแก้วรูปสี่เหลี่ยมทรงสูงตั้งเรียงรายป็นที่สะดุดตาเชิญชวนให้มาลองลิ้มชิมรสสัมผัสความซ่าส์สดได้เต็มทุกหยดทุกแก้ว เป็นน้ำอัดลมแบบไทยแท้ๆ ที่ไม่ต้องติดแบรนด์ใหญ่ก็ขายกันได้มานานโดยไม่ต้องลงทุนโฆษณาด้วยเม็ดเงินมหาศาลอย่างเช่นทุกวันนี้
นี่แหละครับ .. น้ำมะเน็ต .. ซ่าส์กันแบบไทยๆ ไม่ต้องไปเสียเงินให้ต่างชาติให้ขาดดุล ..
อัมที่จริงแล้วเพลินวานมีมุมเด็ดๆ ให้คนชอบถ่ายรูปได้เก็บภาพสวยกลับไปอวดคนที่บ้านได้เยอะแยะ หรือแม้แต่หนุ่มๆ จะพานางแบบส่วนตัวมาด้วยก็คงได้คะแนนพิสวาสไปไม่ใช่น้อย เพราะคุณเธอจะได้ภาพสวยย้อนยุคตามเทรนด์วินเทจที่กำลังเป็นที่ถูกอกถูกใจในหมู่คนรุ่นใหม่ในขณะนี้ แม้แต่กับเพื่อนฝูงที่มากรี๊ดกร๊าดเซลฟี่กันเป็นกลุ่มก็เป็นกิจกรรมสนุกสนานน่าดูชมไม่น้อย ส่วนใครที่ชอบนั่งชิลล์ปล่อยอารมณ์ให้ล่องลอยกับเครื่องดื่มเบาๆ เค้าก็มีร้านให้หนุ่มๆ อย่างเราๆ ที่มีหน้าที่นั่งรอสาวๆ เดินช๊อปปิ้งได้มีที่ดื่มที่ดริ๊งค์กันเป็นการฆ่าเวลา หรือจะเฮฮาไปตามประสาคนโสดที่โดดงานหนีมาเที่ยวบินเดี่ยวโดยลำพังอย่างผมก็ยังได้เพลิดเพลินเจริญตากับสาวๆ น่ารักที่เดินเที่ยวเดินเล่นกันให้ขวักไขว่ทั้งไทยทั้งต่างชาติ
เลือกมุมสวยถ่ายรูปกันได้ .. / ถนนสายนี้ มีเรโทร .. โอ้โฮ .. มันใช่เลยยยย ..
มุมสวยก่อนขึ้นบันไดไปนั่งชิลล์ของบรรดาคนชอบดื่ม .. / รูปดาราสองคนที่เห็นไกลๆ นั่นใครน๊าาาา หน้าคุ้นๆ ไหม .. แต่ผมเกิดไม่ทันยุคทองของพวกเค้าหรอกครับ ..???
พอตกกลางคืน .. ร้านรวงเริ่มเปิดไฟ เพลินวานก็จะสวยไปอีกแบบ .. เสน่ห์แห่งแสงไฟที่เชิญชวนให้หันไปมอง ..
บรรยากาศแห่งวันคืนใต้ผืนฟ้าที่โปรยปรายด้วยแสงไฟจากหลอดไส้ในยุคก่อน ขับให้แสงสวยโทนอุ่นพร่างพราวไปทั่วเพลินวาน ..
ไม่ได้ค่าโฆษณาแล้วจะมาโปรโมทมากไปก็กระไรอยู่ เดี๋ยวจะหาว่าตรูเป็นหน้าม้า แต่ส่องกระจกดูหน้าตัวเองทีไรก็ไม่ได้หน้ายาวนี่นา แต่ทำไมใครๆ ชอบว่าหน้าเป็นม้าอยู่เรื่อย ผมไปเที่ยวทุกที่ไม่เคยมีสปอนเซอร์มาจ่ายค่าเดินทางค่าที่พักให้เลยสักครั้ง ทุกบาททุกสตางค์มาจากกระเป๋าแบนๆ ใบเก่าที่เฝ้าติดตัวมาหลายปี จะเที่ยวแต่ละทีต้องวางแผนกันให้ดีไม่อย่างนั้นมีหวังกินมาม่ากันทั้งเดือนเอาได้ง่ายๆ(ฮา ..) แต่จะทำยังไงได้ ก็ในเมื่อใจมันอยากเที่ยว จะอดมื้อกินสองมื้อก็ต้องพาร่างกายออกไปเปิดรับกับประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อเติมเรื่องราวเติมไฟให้หัวใจที่กำลังอ่อนล้าได้กลับมาสู้ต่อไปได้อีกครั้งอย่างมั่นคง
มุมนี้สำหรับสิงห์อมควันนะครับ .. / เก้าอี้นั่งด้านหน้าทางเข้าในยามนี้กลับดูสวยงามขึ้นมาถนัดตา หลังจากที่เมื่อเย็นผมมองผ่านเลยไปไม่ใยดี ..
แสงโสม .. สุราไทยเหรียญทอง .. ถัดไปก็เป็นที่สำหรับใครๆ ที่ปวดชิ้งฉ่องก็รีบพาน้องไปยิงกระต่าย หรือถ้าข้าศึกกำลังบุกทลายประตูหลัง ก็ควรรีบไปนั่งด้านในแต่โดยดี ..
มุมนี้ที่ใครๆ ก็ชอบมาเก็บภาพประทับใจกลับไปบ้าน ..
บอกลาเพลินวานด้วยรูปด้านหน้ายามเวลาค่ำคืน .. แล้ววันหนึ่งจะพาตัวเองกลับมาหวนคืนรื้อฟื้นอดีตที่นี่กันอีกครั้ง .. ผมสัญญา ..
แฮ่ๆๆ .. นอกเรื่องอีกแล้วสิตรู .. เอาล่ะตอนนี้ก็ย่างเข้าสู่เวลาแห่งค่ำคืนกันแล้ว ก็คงถึงเวลาที่จะต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรกันเสียที ถ้าขืนช้าไปกว่านี้ก็จะไม่มีรถตู้ให้ได้กลับเป็นแน่ เพราะถ้าพลาดรถตู้เที่ยวสุดท้ายก็ต้องรอรถทัวร์ที่วิ่งขึ้นมาจากทางใต้แต่เพียงสถานเดียวและปลายทางที่สายใต้ก็จะลำบากมากมายในการหารถกลับบ้าน ยังดีที่ผมออกมาทันรถตู้กรุงเทพฯ-ประจวบคีรีขันธ์คันสุดท้ายพอดี มีที่นั่งเหลือให้นั่งสบายๆ หลายที่ เลยได้อาศัยนอนหลับกลับมาตื่นอีกทีก็ตอนที่คนขับเลี้ยวขวับเข้าไปเติมแก๊สก่อนถึงถนนกาษจนาภิเษกเล็กน้อย ที่ต้องตื่นลืมตาเพราะเค้าบอกว่าให้ลงจากรถก่อนมันเป็นกฎของปั๊มแก๊ส ผู้โดยสารเลยได้ลงไปยืดเส้นยืดสายเข้าห้องน้ำห้องท่าช่วยผ่อนคลายความเมื่อยล้าจากการเดินทางได้เป็นอย่างดี จากตรงนี้ก็อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็จะน่าถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งจากตรงนั้นผมก็จะมีรถเมล์หลายสายให้ได้เลือกใช้บริการ สะดวกกว่าต้องหารถมาจากขนส่งสายใต้(ใหม่ .. ที่ใหม่กว่าสายใต้ใหม่เดิม .. งงป้ะ..?)ที่อยู่แถวพุทธมณฑลเยอะแยะ
จอดเติมแก๊สแถวๆ ถนนกาญจนาภิเษกครับ .. เลยตื่นมาเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาซะเลย ..
ขึ้นรถเมล์กลับบ้านครับ .. / ดึกดื่นครึ่งคืนแล้ว ถนนลาดพร้างบริเวณแยกรัชดาฯ-ลาดพร้าว ก็ยังมีรถติดไม่สร่างซา เป็นถนนที่ไม่เคยหลับจริงๆ .. / มาถึงตลาดบางกะปิก็ต้องเดินๆๆๆ มาต่อรถอีกสายนึงเพื่อจะไปให้ถึงบ้านเสียที ..
สุดท้ายปลายทางหลังจากผมยืนรอรถเมล์อยู่เป็นเวลาร่วมชั่วโมงก็ได้ขึ้นรถกลับบ้านเสียที และแล้วฝนก็ตกลงมาอีกครั้ง ฟ้าแลบแปล๊บๆ ส่งเสียงคำรามครืนๆ ตลอดเวลา คงเป็นการต้อนรับผมกลับบ้านหลังจากที่ส่งผมไปเที่ยวเมื่อสองวันก่อนด้วยพายุฝนเช่นกัน ภาพสุดท้ายก่อนเดินเข้าบ้านระบุเวลาในเมต้าดาด้าที่ 01:30 น.ของวันใหม่
ขอบคุณที่ได้ติดตามอ่านกันมาถึงสามตอน วันนี้ขอตัวไปพักผ่อนสักสอง-สามชั่วโมงก่อนจะตื่นมาเริ่มชีวิตวันใหม่ในความเป็นจริงกันอีกครั้ง มีความสุขกับการใช้ชีวิตกันทุกคนนะครับ ..
คลิ๊กที่นี่เพื่อชมภาพทั้งหมดของทริปนี้ครับ
เขียนโดย : Tombass
เขียนเมื่อ : วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม 2558 เวลา 13:38 น.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น