วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

20130921 ย้อนเวลาหาตัวตนแห่งคนไทย .. ใน “มิวเซียมสยาม” ..


ขอบคุณภาพจาก WikiPedia
ตอนนั้นมีคนชวนไปอบรมถ่ายรูปที่จัดขี้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาการถ่ายภาพเพื่องานวารสารศาสตร์ ของคณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง หลังจากเข้าอบรมภาคทฤษฎีกันไปแล้วก็ต้องมีภาคปฏิบัติน่ะสินะมันถึงจะครบถ้วน โดยคณะผู้จัดอบรมเลือกเอาบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์เป็นสถานที่ฝึกถ่ายรูป กำหนดการช่วงเช้าทีมงานก็จะพาไปซึมซับกับวิถีไทยในมิวเซียมสยามกันก่อน หลังจากนั้นก็แบ่งผู้เข้าร่วมอบรมออกเป็นกลุ่มย่อยๆ มีหัวข้อให้ไปถ่ายรูปเพื่อเล่าเรื่องราวผ่านภาพถ่ายให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการอบรมในครั้งนี้ พอตกเย็นก็ตัวใครตัวมัน และมีเวลาอีกประมาณสองสัปดาห์ในการส่งภาพเพื่อนำมาจัดแสดงนิทรรศการบริเวณบอร์ดประชาสัมพันธ์ของคณะสื่อสารมวลชนที่อาคารสุโขทัย ชั้น 10 ภายในมหาวิทยาลัยรามคำแหง หัวหมาก
วันนั้นผมตื่นแต่เช้าเพื่อไปเจอกับทีมงานตามเวลานัดหมาย แต่การจราจรในเช้าวันเสาร์ดูจะไม่ได้แตกต่างจากวันทำงานปกติสักเท่าไร กว่าจะดั้นด้นจากบางกะปิไปถึงสนามหลวงก็เล่นเอาหลับสลับตื่นกันไปหลายต่อหลายรอบ พอเลี้ยวผ่านจากถนนราชดำเนินกลางมาได้รถประจำทางปรับอากาศสาย ปอ.60 ก็มาจอดที่ข้างสนามหลวง พนักงานเก็บค่าโดยสารตะโกนบอกมาไกลๆ ว่าสนามหลวงให้ลงป้ายนี้ ผมนี่คว้ากระเป๋ากล้องพร้อมขาตั้งรีบกระโดดลงแทบจะไม่ทัน มองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่กไม่เห็นมิวเซียมสยามที่ว่านั่นเลยสักนิด เห็นแต่ช้างสามเศียรยืนที่สามแยกหัวมุมวัดพระแก้วตรงข้ามกับศาลหลักเมืองอยู่ไกลลิบๆ งานนี้เห็นทีไม่แคล้วตรูจะต้องเดินทางไกลแบบวิชาลูกเสือสามัญที่เรียนกันตอนมัธยมเป็นแน่แท้ อีกไม่กี่นาทีก็จะถึงเวลาที่นัดหมายกันแล้ว ผมยังไม่มีวี่แววจะไปถึงมิวเซียมสยามเลยสักนิด คิดได้ดังนั้นแล้วก็พลันรีบออกเดินมุ่งหน้าไปทางศาลหลักเมืองนั่นแหละแล้วค่อยไปถามพ่อค้าแม่ขายแถวๆ นั้นอีกที

เธอคนนนี้มาพร้อมกับแฟนหนุ่ม .. เลยแอบขอยืมตัวมาเป็นแบบสักหน่อย ..
ระหว่างที่เดินเลาะเรียบริมถนนไปได้สักสิบก้าว ก็เห็นชาวต่างชาติกำลังโยนอาหารให้นกพิราบอยู่ แสงเงาที่ลอดช่องว่างระหว่างต้นไม้มาตกกระทบตัวแบบ พร้อมกับฝูงนกที่บินโฉบกินอาหารกันพรึ่บพรับ สองมือของผมก็เปิดกระเป๋าโดยอัตโนมัติหยิบกล้องออกมาส่องผ่านวิวไฟน์เดอร์ ขยับซ้าย-ขวา หน้า-หลังหามุมที่ถูกใจ หมุนวงแหวนโฟกัสให้ชัดที่ตัวแบบ หรี่รูรับแสงแคบสักนิดเพื่อเผื่อระยะชัดให้ครอบคลุม กดปุ่มเช็คระยะชัดลึกดูสักหน่อย จากนั้นนั่งชันเข่าย่อตัวเตรียมพร้อมรอจังหวะ และในไม่กี่อึดใจเสียงชัตเตอร์ก็ลั่นออกไปเป็นชุดราวกับปืนกล แหมๆๆ เพื่อความชัวร์มันต้องยิงเผื่อเอาไว้กันพลาดสักนิดสิ จะได้มีไว้เลือกหลายๆ ภาพหน่อยน่ะ
ได้มาแล้วหนึ่งภาพแรกสำหรับวันนี้ ดูจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีแต่เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกลนัก เพราะแม่ค้าที่หน้าศาลหลักเมืองบอกว่า มิวเซียมสยามนะเหรอ เดินตรงไปสุดทางโน่นพร้อมชี้มือบอกทิศทาง ไกลแค่ไหนผมไม่รู้หรอกแต่หน้าของเธอที่ทำปากจู๋กับท่าทางชี้โบ๊ชี้เบ๊ของเธอที่ตั้งใจบอกผมนั้นมันดูใสซื่อจริงใจ สื่อให้ผมรู้สึกได้เลยว่า เออ .. มันอยู่ไกลจากตรงนี้อีกเยอะจริงๆ นะ เลยอุดหนุนน้ำเปล่าเธอมาขวดนึงเพื่อเอาไว้เรียกความสดชื่นยามที่ต้องเสียน้ำในร่างกายกับระยะทางที่แสนไกล
ผมเดินไปบนทางเท้ากว้างขวางผ่านหน้ากระทรวงกลาโหมที่มีปืนใหญ่หลายกระบอกตั้งเรียงรายอยู่ในสนามหญ้าติดทางเท้า นี่ถ้าผมไม่มีนัดคงได้แวะเข้าไปจัดรูปปืนใหญ่ใกล้ๆ ด้วยเลนส์มุมกว้างเอาตึกสีเหลืองอ่อนของกระทรวงกลาโหมเป็นฉากหลังที่หลายๆ คนชอบมาเก็บภาพกันจนกลายเป็นมุมมหาชนอีกมุมหนึ่งไปแล้ว แต่วันนี้ได้แต่คำรามฮึ่มๆ ในลำคอว่าฝากเอาไว้ก่อนเถอะ วันข้างหน้าข้าจะมาเอาคืน เพราะวันนี้คงต้องเดินกันอีกไกลและอาจจะต้องเดินกันอีกทั้งวันด้วยแน่ๆ
เดินเรื่อยๆ แต่เล่นเอาเหงื่อโทรมเหมือนกันนะ ผ่านกรมรักษาดินแดนที่ครั้งหนึ่งในอดีตผมเคยมาสมัครเป็นกำลังพลสำรองของกองทัพในช่วงเรียนมัธยมปลาย เรียกกันแบบชาวบ้านๆ ก็คือเรียน รด.นั่นแหละครับ ต้องมาสมัครกันที่นี่แหละครับ เรียนจบสามปีก็มารับสมุดเล่มเล็กๆ สีเขียว หรือ สด.9 ก็ที่นี่อีกเหมือนกัน ผ่านช่วงรด.หัวเกรียนมาได้แบบทุลักทุเลแต่ก็ประทับใจสุดๆ เหมือนกัน ขนาดว่าวันเวลาผ่านไปแล้วเกือบ 30 ปี แต่พอหลับตานึกถึงเมื่อไหร่ภาพเหตุการณ์ในช่วงเวลานั้นมันก็ผุดขึ้นมาให้เห็นชัดเจนเป็นฉากๆ เลยทีเดียว เอาไว้ถ้ามีโอกาสวันหลังจะมาเล่าให้ฟังในบล็อคก็แล้วกัน
 
ป้อมอะไรผมไม่ทันสังเกตชื่อ .. มัวแต่ก้มหน้าก้มตาเดินๆๆๆๆ .. เพราะเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ..
มาเรื่องของเรากันต่อดีกว่า ถึงสวนเจ้าเชตุก็ข้ามถนนไปเดินฝั่งวัดโพธิ์กันดีกว่า เพราะต้องเดินเลาะกำแพงวัดโพธิ์นี่แหละไปจนสุดทาง แล้วเดินต่อไปอีก(ไม่)นิด(ล่ะ เพราะเล่นเอาน้ำที่ซื้อมาหมดขวดกันเลย .. - -!)ก็จะถึงมิวเซียมสยามกันเสียที ถ้าเดินเลยไปอีกนิดเดียวก็ปากคลองตลาดแล้วล่ะนะ หรือเพราะว่าผมเดินเยอะมากนับดูแล้วก็หลายกิโลเมตรอยู่นะ เหนื่อยจนไม่อยากถ่ายรูปอะไรระหว่างทางเลย ช่วงแรกๆ ก็ยังสะพายกล้องอยู่ พอหลังๆ เก็บกล้องเข้ากระเป๋า ก้มหน้าก้มตาเดินๆๆๆๆ อยากจะให้ถึงเร็วๆ อยากนั่ง อยากพักตากแอร์เย็นๆ เป็นที่สุด เหนื่อยนะขอบอก เดินคนเดียวกลางแดดยามเช้าที่แสนจะอบอุ่น แต่ดูเหมือนจะอุ่นมากไปหน่อยนะ (อุ่น+ๆ+ๆ+ๆ+ๆ+ๆ+ๆ+ๆ = ร้อน .. โฮกกกกก ..) ไปถึงก็ไม่เจอใครแล้ว เพราะกว่าผมจะเดินมาถึงก็เลยเวลานัดหมายไปร่วมชั่วโมง ผู้เข้าร่วมอบรมท่านอื่นคงเข้าไปเยี่ยมชมมิวเซียมสยามกันหมดแล้ว ..

ด้านหน้ามิวเซียมสยาม .. กำลังขุดทางเท้าอยู่ .. ดูอุจาดดีแท้ ขุดแล้วก็กลบ แล้วอีกหน่วยงานนึงก็มาขุดใหม่ พอกลบเสร็จ .. ก็จะมีมาขุดๆ กลบๆ เรื่อยไปแบบนี้ ..
ผมตามเข้าไปทีหลังโดยเสียค่าธรรมเนียมเข้าชม 100 บาท ได้บัตรผ่านประตูพร้อมสูจิบัตรแนะนำมิวเซียมสยาม ระบุว่าที่นี่ดูแลโดยสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ ตัวอาคารเป็นตึกเก่าของกระทรวงพาณิชย์ มี 3 ชั้น มีห้องจัดแสดง 17 ห้อง แบ่งเป็น 17 ธีม ในรูปแบบเรียงความประเทศไทย เรียนรู้ผ่านสื่อประสมที่สามารถโต้ตอบกับผู้เข้าชมได้ โดยต้องเดินชมห้องจัดแสดงไปตามลำดับ เริ่มจากชั้น 1 ไปชั้น 3 แล้วลงมาต่อที่ชั้น 2 ซึ่งมีรายละเอียดของการจัดแสดงดังนี้

ชั้นที่ 1

  • ตึกเก่าเล่าเรื่อง ห้องจัดแสดงความเป็นมาของอาคารกระทรวงพาณิชย์เดิม การบูรณะซ่อมแซม รวมถึงการกลายเป็นมิวเซียมสยามในปัจจุบัน
  • เบิกโรง (Immersive Theater) ห้องฉายภาพยนตร์สั้นเพื่อนำเข้าสู่การชมมิวเซียมสยาม ผ่านตัวละครต่าง ๆ
  • ไทยแท้ (Typically Thai) ห้องแสดงวัฒนธรรม เอกลักษณ์ของไทย พร้อมการไขว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นของไทยแท้หรือไม่

ชั้นที่ 3

  • เปิดตำนานสุวรรณภูมิ (Introduction to Suvarnabhumi) ห้องจัดแสดงที่ตั้งของดินแดนที่เรียกว่าสุวรรณภูมิ ชาติพันธุ์ในดินแดนนี้ และวิธีการขุดค้นหลักฐานทางประวัติศาสตร์
  • สุวรรณภูมิ(Suvarnabhumi) ห้องจัดแสดงความเป็นอยู่ของผู้คนในสุวรรณภูมิ การติดต่อกับต่างประเทศ และหลักฐานประวัติศาสตร์สุวรรณภูมิ
  • พุทธิปัญญา (Buddhism) ห้องแสดงหัวใจพระพุทธศาสนาและเรื่องราวที่แสดงถึงสัจจธรรม
  • กำเนิดสยามประเทศ (Founding of Ayutthaya) ห้องแสดงเรื่องราวความเป็นมาอาณาจักรต่าง ๆ ในดินแดนสยาม และตำนานต้นกำเนิดกรุงศรีอยุธยา
  • สยามประเทศ (Siam) ห้องแสดงเรื่องราวความเป็นอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และรูปจำลองเรือแบบต่าง ๆ ตั้งแต่เรือพื้นบ้านถึงเรือพระราชพิธี
  • สยามยุทธ์ (War Room) ห้องแสดงรูปแบบการรบ กำลังพล และการทำสงครามในสมัยอยุธยา

ชั้นที่ 2

  • แผนที่ ความยอกย้อนบนแผ่นกระดาษ (Map Room) ห้องแสดงแผนที่ประเทศไทยในสมัยต่าง ๆ
  • กรุงเทพฯ ภายใต้ฉากอยุธยา (Bangkok, New Ayutthaya) ห้องแสดงเรื่องราวเมื่อสิ้นกรุงศรีอยุธยา เริ่มตั้งกรุงธนบุรี จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ การอพยพของคนชาติต่าง ๆ ในสยาม และการเปรียบเทียบว่ากรุงรัตนโกสินทร์เหมือนกับกรุงศรีอยุธยาอย่างไร
  • ชีวิตนอกกรุงเทพฯ (Village Life) ห้องแสดงวิถีชีวิตของคนในชนบทนอกกรุงเทพฯ โดยมีเรื่องข้าวเป็นหลัก
  • แปลงโฉมสยามประเทศ (Change) ห้องแสดงการเปลี่ยนแปลงสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 และเรื่องราวของถนนเจริญกรุง
  • กำเนิดประเทศไทย (Politics & Communications) ห้องแสดงเรื่องราวในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย
  • สีสันตะวันตก (Thailand and the World) ห้องแสดงวัฒนธรรมตะวันตกที่เริ่มเข้ามาในประเทศไทย
  • เมืองไทยวันนี้ (Thailand Today) ห้องอุโมงค์กระจกขนาดใหญ่ มีโทรทัศน์ขนาดเล็กรายล้อมทั่วห้อง
  • มองไปข้างหน้า (Thailand Tomorrow) ห้องสำหรับแสดงความคิดเห็นของผู้เข้าชม ด้วยระบบคอมพิวเตอร์แสดงข้อความบนผนัง
คุณสามารถเข้าเยี่ยมชมเวบไซต์อย่างเป็นทางการได้ที่นี่
ส่วนของข้อมูลเพิ่มเติมอ่านได้จากที่นี่
และนี่ก็เป็นพิกัดของมิวเซียมสยามครับ 13.744203, 100.494133
จากตรงนี้ให้ภาพเล่าเรื่องก็แล้วกันนะ ..

อ๊บ อ๊บ .. คนกบแดง ..
 
ถ้าอยากรู้ว่าคืออะไร ..? ต้องไปดูเองครับ ..


ความเป็นอยู่ตามวิถีไทย .. บนดินแดนสุวรรณภูมิ ..
  
ดูกันว่า .. จุดกำเนิดเกิดมาเป็น “ไทย” ได้อย่างไร ..?

หลักคำสอนที่ไม่เคยล้าสมัย ..


หัวใจของพระพุทธศาสนา ..

 
การจัดขบวนเรือพระราชพิธี .. / เรือสำเภาที่เข้ามาค้าขายกับสยามในยุคนั้น ..

สยามยุทธ์ .. สมัยอยุธยาทหารไทยเค้ามีวิธีรบกับศัตรูผู้รุกรานกันอย่างไรนะ ..?
 
ปืนใหญ่น่ะของจริง .. ใส่กระสุนได้ ยิงได้ด้วยนะ .. แต่ระเบิดในจอภาพแบบมัลติมีเดียอินเตอร์แอ็คทีฟ .. ทันสมัยสุดๆ ..

เรื่องราวของแผนที่ .. มาดูโลกในแบบสองมิติกันดูบ้าง ..
 

วิถีชีวิตของชนบท .. เรื่องข้าวเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศชาตินะ ..

ความเปลี่ยนแปลงของสยามประเทศ .. ถนนเจริญกรุงในวันที่ความเจริญเริ่มคืบคลานเข้ามา ..
  
ของใหม่ๆ ทันสมัยจากตะวันตก .. เข้ามายกระดับความเป็นอยู่ของคนไทยในวันนั้น ..
 
นวัตกรรมใหม่ที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย .. จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ..

หนังสือพิมพ์ .. สื่อมวลชนในวันนั้น .. เป็นปาก(ที่ถูกปิดเสียง)ของคนรุ่นใหม่ในวันที่ประชาธิปไตยเริ่มก่อร่างสร้างตัว ..

หนุ่มสาวสมัยใหม่ .. ต้องใช้ชีวิตหรูหรา .. สังคมไทยเริ่มเปลี่ยนแนวคิด .. ผู้หญิงก็ไม่น้อยหน้าผู้ชายอีกต่อไป ..

ใครมีรถก็มีสาวๆ มานั่งข้างๆ ด้วยเสมอๆ .. ยุคที่เงินตราและบ่อนบาร์รุ่งเรืองถึงขีดสุด ..

ปิดท้ายกันด้วยมุมนี้ .. ประตูอีกด้านหนึ่งของมิวเซียมสยาม ..
วันนี้ยังไม่จบแต่คงต้องขอยกไปเอนทรีหน้า .. เพราะผมจะพาเดินๆๆๆๆๆ .. จากท่าเตียนสู่ท่าพระจันทร์ ชมถนนแห่งศรัทธาที่พุทธศาสนาช่วยสร้างอาชีพให้คนอีกกลุ่ม แล้วไปปิดท้ายกันที่ถนนพระอาทิตย์ยามที่ดวงอาทิตย์ยังสาดแสงที่สวนสันติไชยปราการ ..
ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันครับ
ภาพจากทริปนี้ครับ

เขียนโดย : นายเมษา
เขียนเมื่อ : วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ.2558 เวลา 19:56 น. GMT+7 TH

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น