วันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2556

20130303 เดินชมเขาวัง .. แล้วไปนั่งชิลล์ที่ .. ซานโตรินี่ พาร์ค ..


หลังคากระจกของหอดูดาว บนยอดพระนครคีรี ..
ช่วงนี้ผมรีบเขียนทริปเก่าที่ดองไว้ เกือบๆสองปีให้อัพเดทกันสักที ตกหล่นกันไปบ้างอย่างในเรื่องข้อมูล เพราะความจำมันเหลือศูนย์ ไม่ได้ Tune ไม่ได้อัพเดท ก็คง said to you ว่าตรูต้องขอโต้ดดดด โย่วๆ .. มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ ..
ขอเตือนไว้ก่อนว่า โพสนี้รูปจะเยอะมาก อาจโหลดช้าไปบ้างนะครับ ..
ทริปนี้เป็นทริปหนีกรุง หนีเรื่องวุ่นๆ ที่อยู่ในใจ หาเรื่องกลับไปสู่จุดหมายที่คุ้นเคย หลังจากตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะต้องมาเช็ค-อินที่ “ซานโตรินี่ พาร์ค ชะอำ” ให้จงได้ตั้งแต่พาร์คเริ่มเปิดตัวใหม่ๆ แต่ก็มิวายจะต้องมีเรื่องให้คลาดกันไปซะทุกที ประมาณว่าตั้งใจวางแผนจะไปเมื่อไหร่จะต้องมีเหตุให้ทริปต้องล่มไปเสียทุกครั้งสิน่า มาครั้งนี้จิตใจไม่ค่อยสบาย ร่างกายต้องการทะเล เลยตัดสินใจออกเดินทางในช่วงสายของวันนั้นเลย ไปคนเดียว เดินทางคนเดียว เที่ยวคนเดียว ไม่ต้องมากคนมากความ กลายเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็วโดยไม่ต้องรอใครให้เสียเวล่ำเวลา

เดินขึ้นมาจากรถราง .. เดินผ่านป้ายนี้ก็ลองอ่านดูบ้างเอาไว้ประดับความรู้ .. เที่ยวอย่างสร้างสรรค์เพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิตกันครับ ..
และเพื่อไม่ให้เสียเที่ยวก็ต้องแวะไปกินก๋วยเตี๋ยวเจ้าเดิมที่เคยกินเมื่อหลายปีก่อนครั้งนั้นที่ได้มาทำงานที่หัวหิน แล้วก็เลยได้ฤกษ์งามยามดีมีโอกาสได้ขึ้นเขาวังหรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ “อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี” อีกสักครั้ง หลังจากที่เคยได้ขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีก่อนตอนที่ยังหนุ่มแน่นกว่านี้ ตอนนั้นยังเดินขึ้นได้สบายๆ ไม่ต้องพึ่งพารถราง แต่วันนี้สังขารมันเริ่มทรุดโทรมเลยตัดสินใจใช้บริการรถรางไฟฟ้าจะดีกว่า อีกอย่างวันนี้อากาศก็แสนจะร้อนอบอ้าว แดดแรงจนต้องหรี่ตาเวลามองผ่านวิวไฟน์เดอร์เพื่อจะเก็บภาพมุมสูงของตัวเมืองเพชรบุรีจากบนยอดของพระนครคีรีให้ได้สักรูป

มองจากตรงนี้ก็ไม่ไกลนะ .. แค่เดินขึ้น-ลงบันไดหลายรอบแค่นั้นเองกว่าจะไปถึงยอดเขาลูกโน้นน่ะ .. / กรุณาอ่านป้าย หากท่านเดินไปไหนไม่ถูก ..

ลองขึ้นไปดูกันนะครับ .. ที่นี่รัชกาลที่ 4 เคยเสด็จแปรพระราชฐานมาพำนักที่วังนี้บ่อยๆ ..
ไหนๆ ก็มาถึงอุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรีกันแล้ว ก็ต้องเรียนรู้ประวัติของที่นี่กันสักหน่อยพอเป็นกษัยเอาไว้ประดับความรู้ จะได้พาตัวเองย้อนอดีตเข้าไปสู่พระนครคีรีได้อย่างสนุกสนานมากยิ่งขึ้น

บันไดเวียน .. เอาไว้เดินขึ้นไปดูดาว .. / บันไดแบบนี้มีให้เดินกันตลอดเส้นทาง .. / ทางนี้ใช้เดินไปวัดที่เห็นเจดีย์อยู่ลิบๆ โน่น ไกลครับ ร้อนด้วย ถ้าใครเดินไหวก็เดินไปเถอะครับ ไปถึงแล้วรับรองว่าไม่รู้สึกเสียดายเวลาแน่นอน ..

แผนที่พระนครคีรี ..

บอกโดยละเอียดทั้ง 32 จุดสำคัญ .. ไม่มีหลงแน่นอน ..
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรีเป็นโบราณสถานเก่าแก่คู่เมืองเพชรบุรี ตั้งอยู่บนยอดเขาใหญ่ 3 ยอด ยอดที่สูงที่สุดสูงประมาณ 95 เมตร แต่เดิมชาวบ้านเรียกภูเขานี้ว่า “เขาสมน” พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงพอพระราชหฤทัยที่จะสร้างพระราชวังสำหรับเสด็จแปรพระราชฐานขึ้นบนยอดเขาแห่งนี้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ซึ่งในขณะนั้นเป็นพระสมุหกลาโหมเป็นแม่กองก่อสร้าง จนสำเร็จเรียบร้อยเมื่อปี พ.ศ.2403 ทรงพระราชทานนามว่า “พระนครคีรี” แต่ชาวเมืองเพชรเรียกกันติดปากว่า "เขาวัง" สืบมาจนทุกวันนี้ พระนครคีรีประกอบด้วยพระที่นั่ง พระตำหนัก วัดและกลุ่มอาคารต่าง ๆ มากมาย ส่วนใหญ่เป็นสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบนีโอคลาสสิคผสมสถาปัตยกรรมจีน ตั้งอยู่บนยอดเขาใหญ่ๆ 3 ยอดด้วยกัน ดังนี้
ยอดเขาด้านทิศตะวันออก บริเวณไหล่เขาเป็นที่ตั้งของวัดมหาสมณาราม ภายในพระอุโบสถมีภาพเขียนฝีมือขรัวอินโข่งบนผนังทั้งสี่ด้าน เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา ส่วนบนยอดเขาเป็นที่ตั้งของวัดพระแก้ว เป็นวัดประจำพระราชวังพระนครคีรี เช่นเดียวกับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นวัดประจำพระบรมมหาราชวังในกรุงเทพฯ ภายในวัดพระแก้วประกอบด้วยพระอุโบสถขนาดเล็ก ประดับด้วยหินอ่อน ด้านหลังเป็นพระพุทธเสลเจดีย์ ด้านหน้าพระอุโบสถเป็นหอระฆังรูปสี่เหลี่ยมย่อมุมขนาดเล็ก

ผ่านแดดลมฝนมานานเป็นร้อยปี .. ร่องรอยแบบนี้ยืนยันความเก่าแก่ได้เป็นอย่างดี .. / เดินกันจนเหนื่อย เมื่อยไปหมดทั้งตัวก็ยังไม่ทั่วสักทีนะเรา .. เฮ้อ ..
ยอดเขากลาง เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุจอมเพชร มีความสูง 40 เมตร บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ภายใน จากจุดนี้สามารถมองเห็นพระที่นั่งต่างๆ บนยอดเขาอีก 2 ยอด รวมทั้งทิวทัศน์ของตัวเมืองเพชรบุรีได้อีกด้วย
ยอดเขาด้านทิศตะวันตก เป็นที่ตั้งของพระราชวังอันเป็นที่ประทับได้แก่ พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ พระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรย์ พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท พระที่นั่งราชธรรมสภา หอชัชวาลเวียงชัย หอพิมานเพชรมเหศวร์ พระที่นั่งสันถาคารสถาน หอจตุเวทปริตพัจน์ ศาลาทัศนานักขัตฤกษ์ นอกจากนี้แล้วยังมีโรงรถ โรงม้า ศาลามหาดเล็ก ศาลาลูกขุน ศาลาด่าน ศาลาเย็นใจ ทิมดาบองครักษ์ โรงครัว ตามแบบพระราชวังทั่วไป รอบพระราชวังมีป้อมล้อมอยู่ทั้ง 4 ทิศคือ ป้อมธตรฐป้องปกทางทิศตะวันออก ป้อมวิรุฬหกบริรักษ์ทางทิศใต้ ป้อมวิรูปักษ์ป้องกันทางทิศตะวันตก  และป้อมเวสสุวรรณรักษาทางทิศเหนือ

บนนี้นี่คืออะไรนะ .. ได้เดินขึ้นไปดูแต่เค้าปิดประตูล็อคกุญแจอย่างดีเชียว .. อดเลยตรู ..
กรมศิลปากรได้ใช้บางส่วนของพระราชวังบนยอดเขาด้านทิศตะวันตกนี้จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครคีรี ภายในเก็บรักษาโบราณวัตถุต่างๆ ได้แก่ เครื่องราชูปโภคของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รูปหล่อโลหะสำริดและทองเหลืองที่ใช้สำหรับตกแต่งห้องต่างๆ ในพระที่นั่ง และเครื่องกระเบื้องของจีน ญี่ปุ่นและยุโรป เฉพาะส่วนของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินี้ เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 8:30-16:00 น. ทุกวัน
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 8:30–16:00 น. ค่าเข้าชม (รวมค่าเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครคีรี) ชาวไทย 20 บาทและชาวต่างชาติ 150 บาท 
นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นชมอุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี(เขาวัง)ได้ โดยการเดินขึ้นหรือโดยสารรถรางไฟฟ้า (ตั๋วไป-กลับ) ค่าบริการสำหรับผู้ใหญ่ 30 บาทและเด็ก 10 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0-3242-560

ได้เวลาลงจากเขาวังแล้วล่ะ ประชาชนคนค้าขายต่างหายหน้าหายตากันไปเกือบจะหมด อดซื้ออะไรกินเลย .. / มีร้านเปิดอยู่นะ แต่คนขายหายไปไหนจ๊ะ .. บอกเลยพี่หิวน้ำอย่างมาก .. นั่งพักได้แต่ร่างกายขาดเกลือแร่น่ะ ..
กว่าผมลงจากจากพระนครคีรีก็เกือบสี่โมงเย็นได้แล้ว เรียกได้ว่าอยู่ชื่นชมบรรยากาศชาววังกันจนเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มสุดท้ายที่ลงรถรางกันเลย พอลงมาถึงด้านล่าง ร้านค้าก็เริ่มทยอยปิดกันไปจนเกือบหมดแล้วเลยไม่ได้อุดหนุนร้านไหนเลย ถึงจะบ่ายแก่ๆ แล้วแต่ความร้อนระอุของอากาศโดยรอบก็ยังไม่ได้บรรเทาเบาบางลงไปสักเท่าไร จัดแจงโทรหาเพื่อนที่อยู่เพชรฯ เผื่อจะได้แวะไปหาสักหน่อยหลังจากไม่ได้เจอะเจอกันหลายปีแล้ว แต่ปรากฎว่าเพื่อนผมก็เข้ามากรุงเทพฯ ซะอย่างงั้นก็เลยคลาดกันไปอีกครา แต่เป้าหมายของผมยังอยู่ข้างหน้า ปลายทางอยู่ห่างออกไปอีกราวๆ สามสิบกว่ากิโลเมตรจากตรงนี้ นั่นคือ “ซานโตรินี่ พาร์ค” อันเป็นจุดหมายของวันนี้นั่นเอง
 
ชิงช้าสวรรค์ .. อันเป็นแลนด์มาร์กของ “ซานโตรินี่ พาร์ค” ครับ ..
เดินทางกันแบบชิลล์ๆ ขับกันแบบไม่ต้องเร่งรีบ บนถนนเพชรเกษมขนาดสองช่องทางเดินรถพร้อมไหล่ทางกว้างขวางขนาดวิ่งได้อีกคันทั้งสองด้านไม่ต้องสวนกันตลอดเส้นทาง จะต้องระวังก็แต่มอเตอร์ไซค์ที่ชอบพรวดพราดออกมาจากข้างทางจนเกิดอุบัติเหตุให้เห็นกันบ่อยๆ นั่นแหละ ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ชื่นชอบกับการได้เห็นได้ซึมซับกับบรรยากาศและชีวิตผู้คนตามสองฝั่งข้างทางถนนที่ผมขับผ่าน ทำให้กว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทาง ดวงอาทิตย์ก็กำลังพาตัวเองแตะยอดเขาที่ปลายขอบฟ้ากันแล้ว แสงสีทองจับขอบฟ้าเริ่มสาดแทงทะลุผ่านมวลหมู่เมฆก้อนใหญ่ที่เห็นลอยล่องอยู่เหนือยอดเขาไกลลิบๆ โน่น แสงแห่งทไวไลท์อันเป็นที่ชื่นชอบของนักถ่ายภาพทุกคนก็เริ่มเผยลำแสงสวยให้เห็น มันดูช่างงดงามน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก

ส่วนร้านค้าจะอยู่ด้านหน้าครับ .. เข้าประตูมาจะเจอส่วนนี้เอาไว้ดักคนชื่นชอบการช๊อปปิ้ง ..

ร้านค้าแบรนด์เนมล้วนๆ … กลับบ้านไปกระเป๋าตังค์เบาหวิวทันที  .. / CROCS .. แหม่ .. แบรนด์โปรดซะด้วย .. สักคู่ไม๊ครับ ..? / เดินขึ้นไปด้านบนกัน ..
หากมาจากกรุงเทพฯ ตามเส้นทางถนนเพชรเกษม “ซานโตรินี่ พาร์ค” จะอยู่ทางขวามือ เราต้องเลยไปกลับรถเสียก่อน จึงจะเลี้ยวเข้าไปได้ ที่จอดรถมากมายหลายร้อยคัน แต่ในวันหยุดมันก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี ส่วนที่ผมเข้าไปเก็บภาพในวันนี้เป็นส่วนของสวนสนุกและร้านค้าด้านหน้าที่ติดถนน ตรงที่มีชิงช้าสวรรค์อันเป็นแลนด์มาร์กของที่นี่ตั้งอยู่นั่นแหละ อีกส่วนที่เป็นสวนน้ำนั้นไม่ได้เข้าไปเพราะผมมาถึงก็เย็นมากแล้ว อีกอย่างคงเตร็ดเตร่อยู่ได้ไม่นานมากเพราะไม่ได้จองที่พักที่ไหนเอาไว้ ต้องไปเสี่ยงดวงเอาอีกว่าวันนี้จะมีที่นอนหรือเปล่า โดยปกติวันธรรมดาที่ไม่ใช่สุดสัปดาห์หรือนักขัตฤกษ์ ที่พักริมหาดชะอำจะมีว่างให้ผมได้ใช้อาศัยพักผ่อนนอนหลับได้ไม่เคยขาด เย็นวันอาทิตย์อย่างนี้จึงไม่ค่อยน่าห่วงสักเท่าไหร่เพราะถ้าหากว่าหาที่นอนไม่ได้ก็บึ่งรถขับกลับกรุงเทพฯ ได้เลยอย่างไม่เป็นปัญหา เพราะผมขับไป-กลับกรุงเทพฯ-หัวหินทุกอาทิตย์มาเป็นปีๆ จนแทบจะจำหลุมบ่อบนถนนได้แทบทั้งเส้นแล้ว

ร้านนี้หวานสุดๆ .. ใครชอบอะไรหวานๆ คงจะอดใจไม่ไหวเป็นแน่แท้ ..
วันนี้ผมขับอ้อมไปจอดรถด้านหลัง เพราะด้านหน้าทางเข้ามีรถจอดเต็มพรึ่ดไปหมด ก็นี่มันเย็นวันอาทิตย์นี่นา เดินไกลเลยตรูแต่ก็ยังดีกว่าขับวนไปวนมาเสียเวลาถ่ายรูปเปล่าๆ ไปซื้อบัตรผ่านประตูแล้วเข้าไปเดินชมนู่นนี่นั่น ถ่ายทุกอย่างที่ขวางหน้าเก็บมาทั้งภาพนิ่งทั้งวีดีโอ ที่ลืมอย่างไม่น่าให้อภัยเลยก็คือ “ขาตั้งกล้อง” แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะมาถึงที่นี่ซะเย็นย่ำค่ำมืดขนาดที่เรียกว่าแสงสุดท้ายเริ่มโบกมือลาปล่อยให้แสงจันทราเข้ามาทำหน้าที่ต่อกันแบบนี้ แต่ไม่เป็นไร ปลอบใจตัวเองไปตามคอนเซ็ปของผม “ถึงภาพจะเบลอจะไม่ชัด แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้จัดสักภาพเอากลับมา” เพื่อนๆ ว่าอย่างนั้นไม๊ล่ะครับ?

เดินตรงไปเป็นลานกิจกรรมกว้างขวางใหญ่โตน่าดู ด้านซ้ายเป็นวอเตอร์บอล .. / มองทางขวาเห็นร้านค้าร้านอาหารเรียงรายให้เลือกช๊อปเลือกชิมกันไม่หวาดไม่ไหว ..
เดินไปเดินมาจนเมื่อย แหม่ .. ก็ปาไปตั้งหลายชั่วโมงแล้วนี่นะ พื้นที่ก็ไม่ได้เยอะแยะมากมายอะไร แต่ผมเดินวนเวียนไปมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ บางทีก็ต้องยืนรอจังหวะดีๆ ที่ปลอดโปร่งจากหัวดำๆ ของคนอื่นๆ ที่มาเที่ยวที่นี่เหมือนผม เพราะเค้ากับเราก็เสียเงินเข้ามาเท่ากัน ไม่ใช่ถือกล้องแล้วจะมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นมันก็ไม่ใช่จริงป้ะ มันก็ต้องแบ่งปันกันไป หาจังหวะเอาให้ดีๆ เพราะช่วงเวลาเหมาะๆ ดีๆ อาจมีแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น

เครื่องเล่นอันนี้เค้าชื่อว่าว่าอะไรใครช่วยบอกที ลักษณะเป็นเหมือนชิงช้าเล็กๆ นั่งได้คนเดียวแขวนเรียงรายอยู่รอบแกนหมุนคล้ายลูกข่างอย่างที่เห็นในภาพนี่แหละครับ จะสนุกหรือเปล่าผมไม่รู้ แต่ที่รู้กันแน่ๆ คือคงเวียนหัวไม่ใช่เล่นเพราะเห็นกรี๊ดกร๊าดกันน่าดูเชียว ..

แล้วอันนี้ล่ะ สองแกนเหวี่ยงมีที่นั่งตรงกลางอย่างรูปกลางนี่แหละ / เวลาจะเล่น .. ไฮดรอลิคจะดันแกนให้โยกออกแล้วดึงสายที่คล้องอยู่ที่นั่งให้ลอยสูงขึ้นจนสุดแขนหมุน จากนั้นก็ปล่อยให้ร่วงลงมาอย่างเร็ว .. แค่คิด .. ของเก่าที่กินเข้าไปก็แทบจะพุ่งออกมาแล้วครับ .. / พักเหนื่อยก่อน มานั่งข้างๆ สาวน้อยคนนี้ แต่ทำไมเธอนั่งตัวแข็งเอาแต่ยิ้มอย่างเดียวไม่พูดอะไรบ้างเลยล่ะ ..
เล็งมุม มองหาและจัดทิศทางแสงที่ต้องการ ปรับตั้งค่าต่างๆ บนตัวกล้องให้เรียบร้อย หมุนหาโฟกัสรอไว้แล้วปิดสวิชท์ออโต้โฟกัสไปเลยจะได้ไม่ต้องหมุนวี๊ดๆ อีก จะได้กดชัตเตอร์ได้ทันท่วงทียังไงล่ะ แต่ก็ต้องยอมรับนะว่า ถ่ายภาพในสวนสนุกแบบนี้ การถ่ายให้เห็นผู้คน ใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แอ็กชั่นที่กำลังสนุกสนานกับเครื่องเล่นต่างๆ ก็น่าจะขาดไม่ได้เช่นกัน (ไม่งั้นคนดูอาจนึกว่ามาเที่ยวสวนสนุกร้างงงง .. เหอๆๆ .. บรื๋อววววว์ ..) เว้นแต่จะถ่ายไปเพื่องานอื่นที่เฉพาะเจาะจง

“ชิงช้าสวรรค์” กลายเป็นของเล่นของคนยุคใหม่ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ .. สมัยผมยังเด็ก หาเล่นได้ง่ายๆ ตามงานวัดทั่วไป มีให้เล่นกันทุกงานจนเบื่อไปเลย ..

ใครขี่จักรยานมาเที่ยวที่นี่กันนะ .. เจ้าของไม่มาเอาคืนจนต้นไม่ขึ้นรกเต็มไปหมดแล้วน๊าาา .. / มาม๊ะ .. บรรเลงกันตามโน้ต ดูสิจะเป็นเพลงอะไร ..? / ถึงแล้วจ้า .. “ชะอำ” รีบมาเที่ยวกันเยอะๆ นะครับ ..
ผมอยู่จนพาร์คเกือบจะปิดนั่นแหละครับ ทั้งนั่ง ทั้งยืน ทั้งเดินจนแข้งขาสั่นไปหมด มาได้นั่งพักดูรูปที่ถ่ายๆ เอาไว้เพื่อจะตรวจสอบลบรูปที่มันสั่นๆ เบลอๆ มากๆ ออกไปบ้าง และมีช๊อตไหนที่ต้องถ่ายเพิ่มเติมก่อนจะปิดทริป แล้วค่อยเอาไปเลือกอีกทีเวลาโหลดลงคอมฯ เพื่อทำโพสโปรเซสขั้นสุดท้าย

ร้านค้า ร้านอาหารยามค่ำคืนแบบนี้ เปิดไฟแล้วดูสวยงามไปอีกแบบ แหมๆๆ .. มันช่างเชิญชวนให้ไปนั่งชิลล์มากมาย ..

เฮ่ยยย .. ฝนตกเป็นน้ำตากับฝนตกเป็นหัวใจ .. ใครอยากอยู่ใต้ร่มคันไหนก็เลือกเอาตามใจเลยนะครับ .. / มุมสงบๆ ในเวลาที่พาร์คใกล้จะปิด .. ถ่ายรูปตอนนี้ท่าจะดีไม่น้อยแฮะ ..
สุดท้ายค่ำนี้ก็ได้ไปนอนริมทะเลชะอำที่แสนจะคุ้นเคย หลับไปอีกคืนเพื่อตื่นมาเจอกับอีกวันที่แสนจะวุ่นวายกันต่อไป
ผมขอปิดทริปพระนครคีรี(เขาวัง)และซานโตรินี่ พาร์คไว้แต่เพียงเท่านี้ ขออนุญาตเขียนเป็นแคปชั่นเล่าเรื่องด้วยภาพแทนก็แล้วกันนะครับ ขอบคุณที่ติดตามอ่านกันครับ

อันนี้ม้าหมุนสองชั้น .. เด็กๆ เข้าไปเล่นกันไม่ยอมเลิก ขึ้น-ลง ขึ้น-ลง หมุนๆๆ ไปตามเพลง ..

พี่หมีตัวใหญ่ปั่นจักรยานเก็บดอกไม้ .. น่าไปถ่ายรูปคู่ด้วยจริงๆ .. แต่ผมไปคนเดียวนี่สิ ใครจะถ่ายให้กันล่ะ .. / ม้าหมุนสองชั้นอยู่ข้างในโน่นครับ .. พาร์คจะปิดแล้วแต่เด็กๆ ยังยังต่อคิวเล่นกันอยู่เลย ..

ถ้าผมเป็นคนชอบช๊อปปิ้ง ก็มีหวังคงจะหมดตัวกันแน่ๆ ล่ะคราวนี้ แต่โชคดีที่ผมชอบถ่ายรูปมากกว่า .. / ฟันทาสติกแลนด์ สนุกสนานในดินแดนมหัศจรรย์ .. จะเข้าไปเล่นก็เกรงใจเด็กๆ ครับ .. ก็เลยไม่เข้าดีกว่า เดี๋ยวเจ้าถิ่นตัวน้อยจะว่าเอาน่ะ ..
คลิ๊กไปดูภาพทั้งหมดของทริปนี้ครับ
เอิ่มมม ..ขอคั่นโฆษณาสักนิด สำหรับคนรักการอ่าน ผมมีเรื่องสั้นที่กำลังหัดแต่งเองในบล็อคนี้ด้วยนะ ลองตามไปอ่านกันได้นะครับ

เขียนโดย Tombass
เขียนเมื่อ : วันพุธที่ 6 พฤษภาคม 2558 เวลา 19:39 น.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น