วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2558

ฝันร้าย .. ที่ปลายทาง ..


cover-slum3
แสงแดดของเช้าวันใหม่เริ่มสาดแสงสดใสขึ้นอีกครั้ง หลังจากเมื่อตลอดค่ำคืนที่ผ่านได้ยินแต่เสียงฟ้าร้องครืนๆ ระคนกับเสียงดังจั่กๆ ของเม็ดฝนที่กระทบหลังคาสังกะสีเก่าคร่ำสนิมเขรอะ สายฝนอ่อนๆ ที่โปรยปรายมันพัดพาเอาความเย็นยะเยือกเข้ามาเกาะกุมในหัวใจของสมพงศ์ หนุ่มใหญ่วัยสี่สิบกว่าจากผืนแผ่นดินที่ราบสูงที่เข้ามาเสี่ยงโชคในเมืองใหญ่ด้วยเพราะเหตุว่าผลผลิตที่ไม่เป็นไปตามฤดูกาลจากนาผืนน้อยที่ตกทอดจากบรรพบุรุษเพียงแค่หยิบมือนั้นมันไม่เพียงพอต่อภาระปากท้องของทั้งเมียกับลูกเล็กๆ อีกสองคนนั่นเอง
ซึ่งก็ไม่ได้แตกต่างจากชาวอีสานอีกหลายๆ คนที่ต่างก็เข้ามาตามหาความฝันในเมืองหลวงเช่นเดียวกับเขา ด้วยวัยและสุขภาพที่ทรุดโทรมอย่างมากจากการทำงานหนักมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นเด็กน้อยจึงมีไม่กี่อาชีพที่เขาจะทำได้ หนึ่งในนั้นก็คือการขับแท็กซี่ แม้ตัวของเขาเองก็ไม่เคยขับรถมาก่อนแต่ในยามนี้ก็ไม่มีหนทางใดๆ ให้เขาเลือกได้มากมายนัก เถ้าแก่เจ้าของอู่เองก็ไม่ได้ใส่ใจจะไปว่าอะไรเพราะคิดว่าอย่างไรเสียก็ดีกว่าปล่อยรถจอดเอาไว้เฉยๆ ไม่ได้อะไรขึ้นมา และก็นับว่าเป็นรายได้ที่ไม่เลวเลยทีเดียวกับค่าเช่ารถรุ่นเก่ารวมกับเติมแก๊สแล้วตกแค่ประมาณเจ็ด-แปดร้อยบาท วิ่งทั้งวันได้ลูกค้าต่อเนื่องหน่อยก็ยังพอมีเงินเหลือเก็บได้พอสมควรอยู่เหมือนกัน ดูๆ ไปแล้วดูเขาจะถูกโฉลกและดวงคงจะสมพงศ์สมชื่อกับเจ้าแท็กซี่คันนี้ทีเดียว มีลูกค้าตลอดทั้งวันวิ่งเที่ยวต่อเที่ยวกันเลย ประกายความหวังที่ได้เห็นครอบครัวลืมตาอ้าปากได้เริ่มผุดขึ้นมาในแววตากร้านโลกคู่นั้นอย่างสุกใส
slum2
เขาลืมตาลุกขึ้นบิดตัวสะบัดหัวไล่ความง่วงแต่ก็รู้สึกเหมือนจะไม่สบายเนื้อตัวรุมๆ แต่ก็หนาวเหน็บจากข้างในเหมือนจะเป็นไข้ แล้วก็รู้สึกเจ็บคออย่างมากจนเสียงแหบแห้งแทบไม่สามารถพูดได้เลยด้วยซ้ำ ยาแก้ไข้แก้อักเสบก็เลยจำต้องถูกกล้ำกลืนผ่านช่องคอเข้าไปด้วยความยากลำบากเพราะมันจะเจ็บจี๊ดแทบน้ำตาไหลทุกครั้งที่ยาแต่ละเม็ดผ่านหลอดคอลงไปสู่กระเพาะ แต่อย่างไรเสียชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป คนจนอย่างเขาไม่มีสิทธิจะมานอนป่วยถ้าหากยังพอมีแรงก็ต้องดิ้นรนออกไปหาเงินให้ได้
เช้าวันอาทิตย์หลังฝนตกแบบนี้ส่งผลให้อากาศยามปลายฝนต้นหนาวเย็นสบายสดชื่นยิ่งนัก หยาดน้ำฝนปนน้ำค้างยังคงเปียกปอนอยู่บนยอดหญ้ากลิ้งไปมาสะท้อนแสงอาทิตย์วาววับดูสวยงามจับตาจับใจ เสียงดีเจวิทยุรายการลูกทุ่งเมืองหลวงกำลังพูดคุยกับผู้ฟังอย่างเขาผ่านหน้าปัทม์วิทยุอย่างสนุกสนาน สำเนียงเสียงภาษาบ้านเกิดที่ได้ยินมันช่วยให้ใจครื้นเครงไปตามจังหวะเพลงหมอลำที่ขับขานเคียงคู่ไปบนถนนยามเช้าที่ยังโปร่งโล่งไร้วี่แววของรถติด สมพงศ์ขับเจ้าแท็กซี่คู่ใจชิดซ้ายกินลมชมวิวไปเอื่อยๆ ไม่นานนักยังไม่ทันที่เพลงโปรดของเขาจะบรรเลงจบเขาก็ได้ลูกค้ารายแรกของวันนี้
“ไปสุขาภิบาล 5 มีนบุรี .. ” เสียงแหบแห้งของชายหนุ่มเสื้อสีฟ้าอ่อนเอ่ยถาม
สมพงศ์หรี่เสียงเพลงจากวิทยุลงพร้อมพยักหน้าเป็นการตอบรับ ชายหนุ่มก้าวขึ้นนั่งเบาะหลังด้านซ้ายพร้อมเสียงปิดประตู รถวิ่งไปตามถนนสุขาภิบาล 3 สู่มีนบุรี เสียงเพลงยังดังแผ่วๆ  สลับกับเสียงลมที่พัดผ่านช่องแอร์ในรถดังหวือๆ แต่ทำไมบรรยากาศในรถถึงได้เย็นยะเยือกขนาดนั้น
เขาเหลือบมองผู้โดยสารผ่านกระจกมองหลังก็สังเกตเห็นว่าชายหนุ่มนั่งก้มหน้าดูโทรศัพท์มือถือของตัวเองพร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา ผมเปียกหมาดๆ ที่ปรกลงมาทำให้มองเห็นหน้าผู้โดยสารของเขาไม่ค่อยชัดเจนนัก เสื้อสีฟ้าอ่อนที่มีรอยขี้โคลนติดชายเสื้อตัวนั้นก็ดูจะเปียกชื้นเหมือนตากฝนมาทั้งคืน รถวิ่งผ่านแยกแล้วแยกเล่าเข้าสู่พื้นที่ชานเมืองที่กลุ่มบ้านพักอาศัยเริ่มเว้นระยะห่างออกไปเรื่อยๆ สลับแซมด้วยป่าหญ้าป่ากกสีเหลืองคล้ำที่ยืนสะบัดใบสูงอยู่ข้างทาง ถนนสุขาภิบาล 5 ขณะนั้นยังเป็นถนนที่เพิ่งตัดใหม่เป็นส่วนต่อขยายจากสุดถนนสุขาภิบาล 3 หมู่บ้านใหม่ๆ เริ่มผุดขึ้นบ้างแล้วตามอัตราการขยายตัวของเมืองใหญ่ ถึงกระนั้นก็ยังคงสภาพบรรยากาศของความเป็นชนบทชานกรุงอย่างได้อย่างไร้รอยต่อ ถ้าต้องมาส่งผู้โดยสารในเวลากลางค่ำกลางคืนก็เสี่ยงที่จะถูกลวงมาจี้ปล้นได้ง่ายๆ จนเป็นที่เลื่องลือในหมู่คนขับแท็กซี่ว่ามีหลายคนหลายคันที่โดนมาแล้วกับตัวเอง บางคนเสียแค่ทรัพย์สิน แต่บางคนถึงขั้นเลือดตกยางออกหรือเสียชีวิตไปเลยก็มี เขาเลยเปลี่ยนช่องรายการวิทยุไปฟังรายงานจราจร เสียงโทรศัพท์จากผู้สื่อข่าวอาสาต่างโทรเข้ามารายงานข่าวใหญ่ประจำเช้าวันอาทิตย์ด้วยเรื่องฆ่าชิงทรัพย์แท็กซี่แล้วเผาอย่างสุดโหดย่านสุขาภิบาล 5 มีนบุรีที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อช่วงกลางดึกคืนที่ผ่านมา
เสียงรายงานข่าวจากที่เกิดเหตุของนักข่าวอาสาจราจรที่ขณะนี้ปรับเปลี่ยนตัวเองไปเป็นนักข่าวสายอาชญากรรมเป็นการชั่วคราวกำลังส่งเสียงเจื้อยแจ้วผ่านเทคโนโลยี 4 จีของเครือข่ายผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของประเทศ ด้วยการเลียนแบบสไตล์การย่อยข่าวใส่ไข่เติมแต้มสีสันให้สนุกสนานชวนให้น่าติดตามแบบการรายงานข่าวยุคใหม่ผ่านสื่อประสมยุคปัจจุบันของผู้สื่อข่าวสาวตัวดำๆ จากรายการข่าวหลายมุมมองหลากมิติของช่องน้อยสี โดยมีเนื้อความประมาณว่า ...
“จากซอยลัดแคบๆ ที่ใช้หลีกเลี่ยงการจราจรบนถนนใหญ่นั้นบัดนี้ดังระงมไปด้วยเสียงจ้อกแจ้กจอแจจากวิทยุสื่อสารของเจ้าหน้าที่มูลนิธิ เจ้าหน้าที่พยาบาลฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งนี้ยังรวมไปถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ดังระงมของเหล่าบรรดาไทยมุงที่ต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันถึงความโหดเหี้ยมทารุณของคนร้ายที่ฆ่าชิงทรัพย์ปาดคอคนขับจนแทบขาดดับอนาถอยู่ในคูน้ำข้างรถแท็กซี่ที่ถูกเผาจนไหม้เกรียมไปทั้งคัน ตอนนี้ศพถูกห่อด้วยผ้าขาวโดยที่ยังเห็นชายเสื้อสีฟ้าเปื้อนเลือดเกรอะกรังเคล้าดินโคลนแลบออกมานอกผ้าเล็กน้อย ….. บลา บลา บลา …” คนฟังก็สนุกโดยยังได้รับรู้ข่าวสารไปด้วยพร้อมๆ กันเช่นเดียวกับสมพงศ์ในขณะนี้
assassin
ขณะที่รถแท็กซี่ของสมพงศ์วิ่งผ่านจุดเกิดเหตุก็มีเสียงครางฮือๆ เบาๆ ในลำคอพร้อมเสียงกัดฟันกรอดๆ ราวกับโกรธแค้นใครอย่างหนักดังมาจากเบาะผู้โดยสารด้านหลังทำลายความเงียบสงัดที่ต่างนั่งอึดอัดกันมาตลอดการเดินทาง แล้วผู้โดยสารนิรนามก็เริ่มบทสนทนา
“คนร้ายมันใจโฉดจริงๆ คนเค้าออกมาทำมาหากินก็ยังจะไปทำเค้าอีก จะเอาเงินเอาทองก็เอาไป ทำไมต้องไปฆ่าไปแกงกันด้วยด้วยนะ .. ว่าไม๊ ..?” เจ้าของเสียงแหบชวนคุยพร้อมทิ้งคำถามในตอนท้าย
“นั่นน่ะสิ คนที่อยู่ข้างหลังคงต้องลำบากแน่ๆ ที่ต้องเสียหัวหน้าครอบครัวไปแบบนี้” สมพงศ์เอ่ยปากเห็นด้วยกับเค้า
“แล้วนี่ไม่กลัวถูกจี้ถูกปล้นบ้างหรือ .. มาส่งที่เปลี่ยวๆ แบบนี้น่ะ” เค้าถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้า
“โอ๊ยยยย .. นี่มันเช้าแล้ว .. ถ้าเป็นกลางค่ำกลางคืนดึกดื่นผมก็ไม่มาหรอก” สมพงศ์ตอบแบบระแวง ประสาททุกส่วนเริ่มตื่นตัวเตรียมพร้อมรับมือว่าเค้าจากมาไม้ไหนกันแน่
“กลางวันก็โดนได้นะ ..” เจ้าของเสียงแหบพร่านั้นสอดส่ายสายตากราดเกรี้ยวจ้องผ่านกระจกมองหลัง
ทันใดนั้นสมพงศ์ก็รู้สึกเย็นวาบเข้าที่ด้านข้างจากคมมีดมันวาวยาวราวๆ ครึ่งฟุตที่คมกริบกำลังหันปลายแหลมเข้าสู่กลางลำตัวของเขา พร้อมกับคิดในใจ “โดนซะแล้วกู ..”
desolate-village
รถผ่านพ้นทางเลี้ยวของหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งย่านเขตติดต่อระหว่างมีนบุรีกับลาดกระบัง คล้ายกับหมู่บ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จแล้วโครงการพับไปช่วงฟองสบู่แตก แต่กับบางบ้านก็จำต้องเข้ามาอยู่เพราะเงินมัดจำก็จ่ายไปแล้ว ทำเรื่องกู้แบงค์ผ่านไปด้วยดีต้องเป็นหนี้ไปแล้วอีก 25 ปี หมดทุนรอนไปแล้วก็เยอะ ครั้นจะไปอยู่ที่อื่นก็ไม่มีเงินก้อนอีกแล้ว สภาพถนนคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดกว้าง 6 เมตรในหมู่บ้านจึงค่อนข้างทรุดโทรมแต่ก็ยังใช้การได้ดี ผิดกับสองข้างทางนั่นต่างหากที่ทำให้ชวนสยองพองเกล้าเพราะเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าคารกชัฏที่สูงท่วมหัว เหมาะจะเป็นสถานที่ก่ออาชญากรรมเป็นที่สุด
สมพงศ์ต้องจำยอมขับมาตามคำสั่งของผู้ที่กุมชีวิตเขาไว้ในกำมือด้วยมัจจุราชสแตนเลสในเงื้อมือพญายมอันมีชื่อเรียกในโลกแห่งความเป็นจริงว่าโจรในคราบผู้โดยสารนั่นเอง เหงื่อกาฬเม็ดเป้งแตกพลั่กๆ ไหลรินผ่านใบหน้าซีดเผือด เสื้อสีฟ้าที่ใส่ขับรถทุกวันมันเปียกชุ่มโชก หัวใจเต้นแรง พลันคิดถึงหน้าเมียรักและลูกเล็กๆ ทั้งสองที่ต่างรอคอยวันกลับไปหาที่บ้านนอกของเขาในสัปดาห์ถัดไป
แต่ชีวิตของเขาก็อาจจะอยู่ไม่ถึงเสียแล้ว เพราะบัดนี้ความอยู่รอดของเขากำลังถูกแขวนอยู่บนด้ายเส้นเล็กๆ บางเบา ที่พร้อมจะขาดสะบั้นลงได้ทุกเมื่อ แต่ละวินาทีแห่งชีวิตกำลังเยื้องย่างผ่านไปอย่างเนิบช้า มันช่างเป็นห้วงเวลาแห่งความสิ้นหวังโดยแท้ ที่ตัวเองไม่สามารถแม้จะรักษาสิทธิ์ในการมีชีวิตอยู่เอาไว้ได้ เพียงเพราะมันถูกกำหนดความเป็นความตายจากชายนิรนามผู้หนึ่งที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักมักจี่กันเสียด้วยซ้ำ
“จอดตรงนี้แหละ .. ดูเอาไว้ว่าตรงนี้นี่คือที่ตายของแกล่ะ ..” เสียงแหบพร่าคำรามก้อง
สิ้นเสียงสุดท้ายจากโจรร้ายใจทมิฬ .. ไม่ต้องมีคำอ้อนวอน ไม่มีเสียงร้องขอชีวิตอีกต่อไป มีดเล่มนั้นถูกดันแหวกกลีบเนื้อข้างลำตัวผ่านกระบังลมทะลุตรงเข้าสู่ปอด สมพงศ์เจ็บแปล๊บในหน้าอกอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน เสียงอากาศพุ่งสวนออกมาดังฟรี้ๆ ผู้โดยสารนิรนามยังนั่งยิ้มดูสมพงศ์ตาเหลือกลานจากอากาศที่กำลังหมดไปจากปอดของเขา เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกจากแผลสาดกระเซ็นเป็นฝอยไปทั่วเบาะคนขับ มีดถูกชักออกมาแล้วคราบเลือดยังไหลหยดจากปลายมีด
killer-knife
มือขวาของเจ้าฆาตกรโรคจิตที่ดูผอมเกร็งปูดโปนของเส้นเลือดซึ่งก็ดูไม่น่าจะมีเรี่ยวแรงเท่าใด แต่บัดนี้กลับจิกแน่นบนเส้นผมของสมพงศ์ที่กำลังชักกระตุกเป็นห้วงๆ ในยามที่ใกล้จะหมดลมหายใจและสติสัมปชัญญะสุดท้ายใกล้จะดับลงเต็มที พร้อมกับรั้งมาด้านหลัง ใบหน้าถูกเงยขึ้นจากแรงดึง คางเชิดสูงเปิดพื้นที่ส่วนของลำคอให้เหยียดตึง และมีดเล่มเดิมนั่นเองก็บั่นคมของมันลงไปที่คอของสมพงศ์ด้วยแรงจากอีกมือของมัน คมมีดยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ เฉือนเนื้อชำแรกผิวหนังสู่เส้นเอ็นแล้วผ่านสู่หลอดเลือดเป็นแนวนอนไปจนสุดหยุดที่ความแข็งของกระดูกต้นคอ แต่ก็ทำให้ส่วนคอของสมพงศ์ไร้ซึ่งการยึดโยงจากกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นใดๆ ของร่างกายอีกต่อไป ด้วยน้ำหนักของหัวจึงทำให้ห้อยต่องแต่งอยู่ตรงนั้นนั่นเอง
เลือดในร่างของสมพงศ์พุ่งกระฉูดราวกับเปิดก๊อกน้ำที่บ้านนอกของเขา สาดเปียกลื่นคละเคล้ากลิ่นคาวเลือดที่กระจายฟุ้งไปทั่วทั้งห้องโดยสาร พร้อมกับเสียงแหบแห้งของชายนิรนามที่หัวเราะอย่างชอบอกชอบใจแว่วมาให้ได้ยินในสัมผัสสุดท้าย มันช่างเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสเหมือนกับถูกมีดโกนเป็นล้านๆ เล่มกรีดลงไปบนเนื้อของเขาพร้อมๆ กัน และแล้วแสงสว่างในดวงจิตก็ดับวูบลงไปพร้อมกับความมืดมิดราวกับท้องทุ่งนาบ้านเราในคืนเดือนแรมที่ไร้ซึ่งแสงจันทร์ส่องสว่างนำทางก็ก้าวเข้ามาแทนที่
สมพงศ์ไม่รู้สึกเจ็บอีกแล้ว แค่รู้สึกแสบๆ ในโพรงจมูกและลำคอเหมือนเป็นหวัดลงคอเท่านั้น เขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง รู้สึกตัวเบาเหมือนล่องลอยได้ แสงสว่างจ้าพุ่งเข้าตาของเขาอย่างจังทำเอาตาพร่าไปชั่วขณะ แต่ก็พอจะมองเห็นลางๆ ว่ามีนางฟ้าใส่ชุดสีขาว 4-5 องค์ ลอยละล่องไปมาอยู่รอบๆ ตัวเขา นี่เขาตายแล้วได้มาอยู่บนสวรรค์หรือนี่ เขากระพริบตาถี่ๆ อีกครั้งเพื่อจะได้เห็นสวรรค์ตรงหน้าได้ชัดเจนขึ้น
ที่นี่มันไม่ใช่สวรรค์นี่นา .. นี่มันโรงพยาบาลต่างหากล่ะ นางฟ้าที่เห็นเมื่อกี้ก็คือนางพยาบาลนี่เอง .. ก็แสดงว่าเขายังไม่ตายน่ะสิ แล้วนี่เขามาอยู่ที่โรงพยาบาลได้ยังไง? คำถามมากมายผุดขึ้นมาในห้วงความคิดราวกับดอกเห็นหน้าฝน แต่ก่อนที่สมพงศ์จะเอ่ยปากถามอะไร ชายหนุ่มในเสื้อสีฟ้าดูคลับคล้ายคลับคลาว่าจะคุ้นๆ หน้าก็เดินเข้ามาที่ข้างเตียง พร้อมกับเอ่ยถาม ..
“ฟื้นแล้วเหรอพี่พงศ์ สลบไปตั้งสามวันนึกว่าพี่จะแย่ซะแล้ว” เสียงของบุญสม รุ่นน้องคนสนิทที่ขับแท็กซี่ร่วมอู่เดียวกันกับสมพงศ์กล่าวทัก
“เถ้าแก่เห็นพี่หายไปสองวันไม่ยอมมาส่งรถ ไม่โทรมาบอกอะไรเลย เงินค่าเช่าพี่ก็ไม่เอามาจ่าย เค้าเลยให้ผมไปตามพี่ผ่านจีพีเอสแทร็คเกอร์ ก็ไปเจอพี่นอนสลบไสลไข้ขึ้นสูงในรถที่จอดอยู่กลางหมู่บ้านร้างแถวๆ มีนบุรีโน่นแน่ะ ผมก็เลยพามาส่งที่โรงพยาบาลนี่แหละ” บุญสมร่ายยาวเหมือนรู้ใจเลยช่วยตอบข้อสงสัยทั้งหมดของสมพงศ์ได้ในคราวเดียว
“หมอบอกว่า พรุ่งนี้พี่ก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมมารับนะพี่ .. ” บุญสมกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะออกไป
taxi-blue
ตอนสายของวันต่อมาชายหนุ่มสองวัยนั่งมาบนรถแท็กซี่สีฟ้าทะเบียน ทน 313 กรุงเทพมหานครที่กำลังมุ่งหน้าไปตามถนนมิตรภาพสู่อำเภอหนึ่งของจังหวัดใหญ่ในภาคอีสานตอนล่าง เพื่อเดินทางกลับสู่บ้านเกิดของสมพงศ์ที่เมียรักและลูกน้อยคอยอยู่อย่างใจจดใจจ่อ พวกเขามาถึงบ้านตอนบ่ายสามกว่าๆ แต่ที่บ้านของสมพงศ์กลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน เสียงหมาเห่ากรรโชกตลอดทางทั้งหมู่บ้าน ซึ่งอาจจะเป็นธรรมชาติของพวกมันเพราะมีรถแปลกถิ่นเข้ามาในเขตปกครองของพวกมันนั่นเอง
บุญสมดูจะไม่สนใจกับเสียงเห่ากันขรมของหมาพันธุ์ไทยหน้าตาบ้านๆ เหล่านั้น แถมบางตัวยังมีหอนรับเสียด้วยสิ เขาเร่งความเร็วขึ้นอีกนิดเหมือนจะรีบไปให้ทันบางอย่าง มุ่งหน้าสู่วัดประจำหมู่บ้านที่ดูราวกับมีงานกันในวันนี้ เผื่อว่าอาจจะเจอครอบครัวของสมพงศ์อยู่ที่นั่นบ้าง
สี่โมงเย็นแล้วแท็กซี่ของบุญสมจอดยังอยู่หน้าวัด แต่เหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นรถสีฟ้าหน้าตาแปลกถิ่นทะเบียนกรุงเทพคันนี้แต่อย่างใด ดูทุกคนยังคงทยอยกันเดินเข้าไปร่วมงานศพของใครบางคนกันอยู่ สมพงศ์นั่งอยู่ในรถพลางสอดสายตามองหาเมียและลูกๆ ของเขา แต่แล้วจู่ๆ เขาก็รู้สึกร้อนไปทั้งตัวอย่างหาสาเหตุไม่ได้ทั้งที่แอร์ในรถก็ยังเปิดอยู่พร้อมทั้งส่งกระจายความเย็นจนทั่วทั้งห้องโดยสาร รถแท็กซี่สีฟ้ารุ่นใหม่แบบนี้ระบบแอร์ยังไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใดนี่นา แต่ทำไมเขายังรู้สึกร้อนและก็ยังร้อนขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย หรือจะเป็นเพราะไข้กลับกันแน่..?
Funeral-pyre
ควันสีดำกำลังลอยละลิ่วออกจากปากปล่องของเมรุที่อยู่ด้านหลังของวัด คนกลุ่มหนึ่งแต่งกายในชุดไว้ทุกข์สีดำเดินถือรูปคนหนึ่งกลับออกมาจากวัด มันเป็นรูปของชายอันที่เป็นที่รักของญาติมิตร เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นสามีของหญิงคนหนึ่งที่กำลังน้ำตานองหน้า และที่สำคัญเป็นพ่อของเด็กทั้งสองคนที่เดินออกมาพร้อมกันอีกด้วย ภาพของลูกเมียที่เดินร้องไห้กลับบ้านนั่นคือความทรงจำสุดท้าย สมพงศ์เข้าใจเรื่องทุกอย่างโดยชัดเจน
“งานของพี่พงศ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว คราวนี้เราไปงานผมกันบ้างนะพี่” บุญสมพูดพลางขับรถออกไป ทิ้งหมู่บ้านอันเป็นถิ่นฐานบ้านเกิดของสมพงศ์ไว้ข้างหลัง ทน 313 สีฟ้าคันนี้ออกเดินทางอีกครั้งเพื่อมุ่งหน้าไปสู่จังหวัดใหญ่ทางภาคตะวันตกของประเทศ พลันสมพงศ์ก็เหลือบไปเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งวางอยู่ที่เบาะหลัง เป็นหนังสือพิมพ์กรอบบ่ายของเมื่อห้าวันก่อน โดยมีพาดหัวตัวใหญ่ว่า ..
car-crash9
“ชนวินาศ 9 คันสังเวยสงกรานต์” กับภาพข่าวของรถแท็กซี่สีฟ้าถูกอัดก็อปปี้จนเครื่องยนต์และตัวถังรถทั้งหน้า-หลังยุบเข้ามารวมกับห้องโดยสาร คนขับร่างแหลกเหลวเละติดอยู่กับซากรถจนเกินกว่าจะงัดแงะออกมาได้ครบทุกชิ้น
 
 
เขียนโดย : นายเมษา
วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน 2558 เวลา 01:15 น.













































ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น