วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

20130710-11 แบกเป้ลุยเล .. ก่อนไปเตร่ที่ .. มฤคทายวัน .. ตอนที่ 1


รีบเก็บตกอีกสักหนึ่งทริป .. สองวันกับสามที่หมายบนถนนสายเดิมที่คุ้นเคย ทริปนี้ขอเดินทางแบบลุยๆ สักหน่อย ไปรถตู้จะได้ดูวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นได้เต็มตา ไม่ต้องมาพะวงเรื่องอื่น แค่นั่งไปแล้วถ่ายรูปได้ตามใจปรารถนาสบายอุราดีแท้หนอเรา
เริ่มต้นกันที่เช้าวันพุธที่ 10 กรกฎาคม 2556 เหมือนจะเป็นวันที่ดีนะ แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่คิด มีเรื่องให้ใจต้องหงุดหงิดอีกจนได้ เมื่อบางคนไม่จริงใจโกหกกันได้ทุกคำทุกค่ำเช้า ร่างกายเลยต้องเศร้ารบเร้าเรียกหาทะเลขึ้นมาแบบกระทันหัน เป้ใบเล็ก เสื้อผ้าหนึ่งชุด กระเป๋ากล้องหนึ่งใบ แล้วออกไปตามล่าหาสิ่งที่ชอบ(ไม่ใช่ให้ไปที่ชอบๆ นะค๊าบบบ.. ฮ่าๆๆ)

ผมเป็นคนง่ายๆ ไม่ต้องการอะไรปรุงแต่งให้เยอะแยะ .. เป้ใบเล็กกับเสื้อผ้าชุดเดียวก็เพียงพอแล้ว / คันนี้แหละครับ .. พี่เค้าขับได้ชวนให้เมารถมากๆ กระชากวืดวาดๆ ตลอดทาง เวียนหัวแทบแย่ ขนาด Fast 7 ยังต้องชิดซ้ายไปเลย ..
ลุยไปตามใจฝัน ก้าวออกจากรังนอนอันอบอุ่นไปยืนรอรถเมล์ สี่สิบห้านาทีผ่านไปยังไม่ได้ขึ้นรถเลย .. อุเหม่ .. ทำไมมันถึงนานขนาดนี้นะ ขณะที่เกือบจะเปลี่ยนใจรถเมล์สาย 36ก ก็ห้อตะบึงมาราวม้าศึกที่กำลังคึกคักจนโบกกันแทบจะไม่ทัน โชเฟอร์กดเบรคอย่างแรง รถจอดตรงหน้าป้ายตรงเป๊ะพร้อมกับฝุ่นที่ตลบอบอวลท่วมกันทั่วถึง เพื่อนร่วมชะตากรรมที่ป้ายรถเมล์ต่างสำลักฝุ่นกันไปคนละอึกสองอึก ผมรีบกระโดขึ้นอย่างรวดเร็วกลัวพี่โชเฟอร์จะเปลี่ยนใจออกตัวไปซะก่อนเดี๋ยวจะอดไปกันซะเปล่าๆปลี้ๆ

ติดอยู่ที่ตลาดบางกะปิ .. รอ ร๊อ รอออออ .. ไฟก็ไม่เขียวซ๊ากกกกที .. / เข้ามาห้วยขวางแล้วครับ .. / กำลังจะออกมาแยกโบสถ์แม่พระฯ
หลังจากฝ่าการจราจรที่ติดขัดราวกับเกิดจราจลของท้องถนนย่านรามฯ-ห้วยขวาง ประมาณบ่ายโมงพี่โชเฟอร์สุดหล่อก็พาผมมาจนถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิโดยปลอดภัยแบบมีโปรโมชั่นแถมความเร้าใจให้ลุ้นระทึกตลอดเส้นทาง ลงรถได้อยากจะก้มลงไปกราบขอบคุณฟ้าดินที่ช่วยให้ลูกช้างพาชีวิตรอดพ้นภยันตรายมาถึงที่หมายได้โดยไม่มีบาดแผลทั้งกายใจ .. Fast 7 ที่ว่าแน่ยังต้องแพ้คุณพี่โชเฟอร์คนนี้เลย .. สุดยอดแท้หล่าววว ..

เย้ๆๆๆ .. ถึงอนุสาวรีย์ชัยฯ แล้ว .. สวรรค์ทรงโปรด .. แทบจะอาเจียนเพราะอาการเมารถนี่แหละ .. เง้อออออ ..

ท่ารถตู้ที่หน้าห้างเซนจูรี่ .. ซื้อตั๋วแล้วขึ้นไปนั่งรอบนรถ .. / ทยอยกันขึ้นมาเป็นเพื่อนร่วมทางของผมกันเรื่อยๆ ครับ ..
จากนั้นก็เดินเตร่ไปเรื่อยจนถึงห้างเซนจูรี่อันเป็นที่พำนักพักอาศัยของเหล่าพี่ๆ รถตู้โดยสารประจำทาง อยากไปไหนพี่จัดให้ แต่ช่วยรอพี่หน่อยนึงนะขอเพื่อนร่วมทางเยอะๆ ก่อนสัก 13-14 คน พี่จะรีบขับไปส่งให้ถึงปลายทางโดยพลัน เที่ยวนี้ออกประมาณบ่ายสอง อ๊ะ .. ยังมีเวลาถ้าอย่างนั้นเราไปเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเพราะจะต้องเดินทางไกลอีกหลายชั่วโมง ก่อนจะมาซื้อตั๋วแล้วขึ้นไปนั่งรอบนรถ ผมเลือกเบาะหลังสุดด้านซ้าย สักพักพอได้เพื่อนร่วมทางเต็มคันรถ ก็ได้เวลาล้อหมุนออกเดินทาง โบกมืออำลาเมืองกรุงเพื่อมุ่งหน้าสู่ทะเลชะอำกันสักสองวันนะ

รถออกแล้วครับ .. / กำลังจะขึ้นสะพานพระราม 9 / ผ่านแยกวังมะนาวมาแล้ว .. ตื่นมาถ่ายรูปทันพอดี .. แต่ …………
ครั้นพอรถตู้ลงจากทางด่วนดาวคนองท้องฟ้าก็เริ่มขมุกขมัว เมฆดำเริ่มก่อตัวสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายฝนห่าใหญ่ก็เทลงอย่างไม่ลืมหูลืมตาก่อนจะถึงเพชรบุรีเล็กน้อย หมดโอกาสจะได้ถ่ายรูปสองข้างทางอย่างทางวางแผนเอาไว้เลยเปลี่ยนใจมาพักสายตาสักงีบดีกว่า อีกราวๆ สักชั่วโมงก็คงจะถึงชะอำ

ฝนเจ้ากรรมก็เทลงมาซะขนานใหญ่ .. เฮ้ออออ ..

ถ่ายอะไรไม่ได้เลยนอกจาก เม็ดฝนปนน้ำกระเซ็น .. / เลยได้มาแค่เนี๊ยะ ..

ถึงแล้ววววว .. ชะอำ .. แต่ท้องฟ้ามันอึมครึมเหลือเกิ๊นนนนน .. สีสันก็พลอยจางหายไปจากชีวิตเลย ..
เป็นไปตามที่คาด สี่โมงเศษๆ รถก็จอดนิ่งสนิทที่วินรถตู้ที่ตั้งอยู่บนถนนก่อนถึงริมหาดประมาณสามร้อยเมตร ฝนเพิ่งจะหยุดตกได้ไม่นาน อากาศไม่ร้อนมีลมทะเลอ่อนๆ พัดเย็นสบาย ผมเดินเรื่อยไปตามทางมุ่งหน้าลงไปที่ริมหาดเข้าไปไหว้ศาลของพระบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ อันเป็นพระบิดาของบ้านชะอำที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของลานกิจกรรม และตามคอนเซ็ปของผม เราลองมารู้จักประวัติคร่าวๆ ของพระองค์ท่านกันสักนิดนะครับ
narathip-praphunpong
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ มีพระนามเดิมว่า "พระองค์เจ้าวรวรรณากร" เป็นพระราชโอรสลำดับที่ 56 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ประสูติแต่เจ้าจอมมารดาเขียน เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2404
พระองค์เจ้าวรวรรณากร ทรงเริ่มรับราชการที่หอรัษฏากรพิพัฒ เป็นพนักงานการเงินที่ฝากแบงค์ต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็นพระองค์เจ้าต่างกรมมีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์"
สมัยที่ทรงพระเยาว์ สนพระทัยศิลปะ วรรณคดี ประวัติศาสตร์ และภาษา รวมทั้งภาษาอังกฤษจนถึงขั้นอ่าน เขียน และแปลได้คล่องแม้จะมิได้เสด็จออกไปศึกษาต่างประเทศ เมื่อเจริญพระชนม์ขึ้นทรงเริ่มรับราชการในด้านการคลัง เมื่อปี พ.ศ. 2432 ดำรงตำแหน่งรองเสนาบดีกรมพระคลังมหาสมบัติ
ราชการพิเศษที่ทรงได้รับมอบหมายคือเป็นนายด้านปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทำบานซุ้มประตูโดยรอบพระพุทธปรางค์ปราสาท (ปราสาทพระเทพบิดร) และพระศรีรัตนเจดีย์สลักเป็นรูปเสี้ยวกางลงรักปิดทองทำขึ้นใหม่ และปั้นประดับกระเบื้องก่ออิฐฐานยักษ์ยืนประตูหนึ่ง ต่อมาเป็นกรรมสัมปาทิกหอพระสมุดวชิรญาณ และใน พ.ศ. 2434 เป็นสภานายก
นอกจากจะทรงควบคุมกิจการโรงละครปรีดาลัยและพัฒนารูปแบบการแสดงละครร้องแล้วยังทรงพระนิพนธ์บทละครแบบใหม่และงานประพันธ์อื่นๆ อีก ทั้งที่เป็นร้อยกรองและร้อยแก้ว ต่อมาในปี พ.ศ.2464 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลื่อนกรมขึ้นเป็น "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์" มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า "พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ มกุฏวงศ์นฤบดี มหากวีนิพันธนวิจิตร ราชโกษาธิกิจจิรุปการ บรมนฤบาลมหาสวามิภักดิ์ ขัตติยศักดิ์อดุลพหุลกัลยาณวัตร ศรีรัตนไตรย์คุณาลงกรณ์ นรินทรบพิตร"
พระนิพนธ์ของท่านมีทั้งงานแต่ง งานแปลและงานแปลจากภาษาอังกฤษเช่น อาหรับราตรี รุไบยาดและเรื่องสั้นในวชิรญาณวิเศษ โดยใช้พระนามแฝงหลายพระนามเช่น ประเสริฐอักษร หมากพญา พานพระศรี พระศรี เป็นต้น
พระ นิพนธ์ บทละคร พระลอ มหาราชวงศ์พม่าแผ่นดินพระเจ้าสีป่อมินทร์ สาวเครือฟ้า พระยาเดโชแข็งเมือง พันท้ายนรสิงห์ ไกรทอง วันทองห้ามทัพ อีนากพระโขนง ฯลฯ
กลอน นิยายอาหรับราตรี นิราศนราธิป นิราศไทรโยค ฯลฯ
โคลงลิลิตดั้นตำนานพระแท่นมนังคศิลาบาตร ปฐมภาค โคลงภาพรามเกียรติ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ห้องที่ 24 – 285 รวมโคลง 56 บท เนื้อความตั้งแต่นางสำมะนักขามาฟ้องทศกัณฐ์จนถึงหนุมานถวายตัว รุไบยาด ของ ฮะกิม มาร์ คัยยาม โคลงภาพพระราชพงศาวดาร ประกอบรูปที่ 2 แผ่นดินสมเด็จพระราเมศวร ภาพตีเมืองเชียงใหม่ รูปที่ 3 ภาพตีเมืองละแวก รูปที่ 56 แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเสือ ภาพพันท้ายนรสิงห์ถวายชีวิต รูปที่ 70 แผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรี ภาพอะแซหวุ่นกี้ดูตัวเจ้าพระยาจักรี ฯลฯ
และคำฉันท์ เฉลิมเกียรติ์คำฉันท์ ฯลฯ

ไปไหว้สักการะศาลของพระองค์ท่าน .. มาเที่ยวบ้านท่านก็ควรจะบอกกล่าวฝากเนื้อฝากตัวให้ท่านช่วยดูแลจะได้แคล้วคลาดปลอดภัย การเดินทางราบรื่น ..
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ประชวรพระโรคพระอันตะ(ลำไส้ใหญ่)และสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2474 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมพระชันษาได้ 70 ปี ทรงเป็นต้นราชสกุล “วรวรรณ”
หมายเหตุ - คัดย่อจาก “นามานุกรมวรรณคดีไทย ชุดที่ 2 ชื่อผู้แต่ง จัดทำโดย มูลนิธิสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ผู้เรียบเรียง ..หญิง สุมาลี วีระวงศ์

ขึ้นไปยืนสูดอากาศสดชื่นหลังฝนตก .. ลมทะเลพัดเย็นชื่นใจ ช่วยบรรเทาความเศร้าลงไปได้เยอะเลย ..
หลังจากสักการะศาลของพระองค์ท่านแล้ว ก็เดินเข้าไปที่ลานเพื่อยืนรับลมทะเลสูดอากาศยามเย็นหลังฝนตกเติมพลังให้ร่างกายสดชื่นอีกครั้ง ประสาทรับกลิ่นในโพรงจมูกได้สัมผัสรับรู้ถึงกลิ่นคาวเค็มที่คุ้นเคยอันเป็นเอกลักษณ์แห่งท้องทะเล ลมทะเลยามเย็นพัดอ่อนๆ พัดพาเอาไอเค็มแทรกผ่านไปทั่วสรรพางค์กายทิ้งเอาคราบเหนียวเหนอะของอณูแห่งเกลือเกาะเกี่ยวอยู่กับร่างกาย แต่นี่คือเสน่ห์อย่างหนึ่งของทะเลที่ยังคงผูกสร้างความประทับใจให้หลายคนต้องดั้นด้นกลับมาเยือนทะเลทุกครั้งเมื่อมีโอกาส

ไปเที่ยวก็ลองอ่านๆ กันบ้างนะครับ .. จะได้รู้ที่มาที่ไปของสถานที่นั้นๆ ด้วย .. / แสงไฟใต้หยดน้ำ จะสาดแสงส่องสว่างให้ทุกชีวิตได้ปลอดภัย อุ่นใจถ้ามีไฟสว่างอยู่เป็นเพื่อน ..

ฝนหยุดตก นักท่องเที่ยวก็เริ่มออกมาเล่นน้ำทะเลกันแล้ว ..
ภาพของหาดทราย สายลมและสองคนที่เคลียเคล้าพะเน้าพะนอหยอกล้อต่อกระซิกเสียงดังกันอย่างสนุกสนาน พาลให้คลื่นลมอิจฉาจนต้องกรีดเสียงหวีดหวิวปลิวพัดให้คลื่นสาดซัดกระทบหาดทรายดังซู่ๆ เพื่อจะได้กลบเสียงที่เสียดแทงอารมณ์เช่นนั้นให้มันเงียบไป ทะเลมีหลายอารมณ์ไม่แตกต่างจากใจคนที่มีหลายคนอยู่ในใจ ทะเลไม่เคยหลับใหลฉันใด ใจคนก็ไม่รู้จักพอใจในสิ่งที่มีฉันนั้น(มันเกี่ยวกันตรงไหนฟร๊ะ .. ไม่ใช่เรื่องดราม่าซักหน่อยนิ .. ฮี่ๆๆๆ)
ขออภัยครับ .. อารมณ์มันพาไปเพราะหัวใจคิดถึงทะเลอีกแล้ว .. กลับมาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่า

สาวๆ ก็เตรียมตัวเซลฟี่ ..
หลังจากถ่ายรูปท้องฟ้ามัวซัว แสงสีที่หดหายไปตามแสงแดดที่มีน้อย สเปคตรัมของแสงก็เลยไม่เผยเฉดสีให้เห็นมากนัก นี่เป็นเหตุที่ว่าทำไมเวลาไม่มีแดดแล้วสีของภาพมันจะตุ่นๆ ไม่สดใสเหมือนเช่นเคย ผมก็เก็บเอาบรรยากาศของทะเลยามเศร้าบันทึกเอาไว้เป็นความทรงจำเหงาๆ อีกคราว ฝนหยุดแล้วผู้คนเริ่มออกมาเล่นน้ำกันให้เห็นบ้างแล้ว ส่วนตัวผมก็คงต้องตระเวณหาที่พักอาศัยจะได้มีที่หลับนอนสำหรับคืนนี้กันก่อน วันพุธกลางสัปดาห์แบบนี้ห้องพักคืนละ 300 บาทหาได้ไม่ยาก มีครบทั้งแอร์, ตู้เย็น ผมได้ที่พักติดหน้าหาดเลยในราคาที่บอกนี่แหละครับ

ที่พักของผมในคืนนี้ครับ .. / ถ้าไม่เรื่องมากกับชีวิต แค่นี้ผมก็นอนได้สบายๆ แล้วครับ .. ไม่จำเป็นต้องหรูหราอะไรมากมาย ..

ผมเป็นคนกินง่ายอยู่ง่าย แค่นี้ก็อิ่มได้ครับ เรื่องกินไม่เคยเรื่องมาก .. / ถึงจะกินเพื่ออยู่ แต่ปลาหมึกนี่ตรูขอเถอะนะ .. ถึงจะแพงหูฉี่แต่พี่ก็ซื้อ .. ฮี่ๆๆ
รีบเก็บของเข้าห้องแล้วก็คงต้องหาอะไรเติมลงไปในกระเพาะบ้างแล้ว ทั้งวันเพิ่งกินกาแฟไปแก้วเดียว ออกมาข้างหน้าที่พักหันรีหันขวางอยู่สักพักก็ไปเจอเข้ากับที่พึ่งยามยาก 7-11 ของเจ้าสัวซีพีที่ยังไงก็มีอะไรให้ใส่ท้องแน่ๆ เลยแวะเข้าไปหาเสบียงมื้อเย็นแล้วก็เผื่อไว้มื้อเช้าด้วยเลย เพราะกว่าจะตื่นก็คงสายๆ จะได้ไม่ต้องหาอะไรทานกันให้ยุ่งยากอีก
กลับเข้าห้องฝนก็กระหน่ำลงมาอีกครั้งแบบไม่ลืมหูลืมตา เลยต้องซุกตัวหนีหนาวอยู่ในผ้าห่ม ข้างๆ ตัวก็เอาเป้วางไว้ กระเป๋ากล้องโยนไปตามเรื่อง หลับไปก่อนสักงีบสำหรับค่ำนี้ เดี๋ยวดึกๆ ค่อยออกไปเดินหาปลาหมึกสดตัวโตๆ มากินเล่นก่อนจะจดบันทึกการเดินทางสำหรับวันนี้

อุ่นใจเพราะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ใกล้ๆ ปลอดภัยไร้อาชญากรรม .. / ร้านอาหารนี้น่านั่งดื่มชิลล์ๆ นะ .. แต่ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์นี่สิ .. งั้นเอาชาเขียวไปชิลล์คนเดียวที่ริมทะเลแทนดีกว่าเนอะ ..
เขียนไปเขียนมา มัวพร่ำพรรณาอยู่นั่นแหละเลยยังไปไม่ถึงพระราชวังแห่งความรักและความหวังสักที เริ่มจะยืดยาดยาวเหยียดตามสไตล์เพ้อเจ้ออันเป็นแบบฉบับของผม(แฮ่ๆ .. มันแก้ไม่ได้ซ๊ากกกที พอได้เขียนปุ๊บ ออกอาการทันที) ดังนั้นขออนุญาตยกยอดไปตอนที่สองในโพสหน้าก็แล้วกันนะครับ

ทักทายเจ้าถิ่นเสียหน่อย .. เลยต้องเสียหนวดปลาหมึกไปหลายชิ้นเป็นค่าคุ้มครอง .. ฮ่าๆๆ
คลิ๊กที่นี่เพื่อแวะไปชมภาพของทริปนี้ครับ
 
เขียนโดย : Tombass
เขียนเมื่อ : วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2558 เวลา 18:20 น.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น