วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ไปเมืองกาญจน์กันอีกครั้ง .. (ตอนจบ)

>> คลิ๊กไปดูตอนที่ 1 << || >> คลิ๊กไปดูตอนที่ 2 << || >> คลิ๊กไปดูตอนจบ <<

เราก็กลับมาเข้าเรื่องของเรากันต่อดีกว่า เท้าความย้อนหลังกันสักเล็กน้อย หลังจากในโพสแรกได้เล่าถึงการเดินทางไปยังจังหวัดกาญจนบุรีและเข้าสู่ทีพัก ส่วนในตอนที่ 2 ได้แนะนำมุมต่างภายในรีสอร์ทกันไปแล้ว ในโพสนี้เราจะเดินทางไปเที่ยวกันตามโปรแกรมที่วางไว้คร่าวๆ กันนะครับ ตั้งใจว่าจะให้จบเรียบร้อยในโพสนี้เลย อาจจะยาวหน่อยนะครับ


ภาพจาก http://www.kanchanaburi.com/

การท่องเที่ยวในเมืองกาญจน์ สมควรอย่างยิ่งที่จะใช้รถส่วนตัวเพราะสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งนั้นอยู่ห่างกันมาก และโดยมากแต่ละที่ใช้เวลาเดินทางเป็นชั่วโมงทั้งนั้น อยู่ที่เราพักกันที่ไหน ส่วนรถสาธารณะนั้นก็มีแต่ไม่ได้มากมาย อาจจะทำให้เสียเวลาในการเที่ยวไปเปล่าๆ กับการรอคอย เอาเป็นว่าสามารถหาข้อมูลการเดินทางท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ http://www.kanchanaburi.com/ กันเลยนะ

เรื่องมันก็เริ่มกันที่ตรงนี้..

หลังจากทานอาหารเช้ากันเป็นที่เรียบร้อย เอ่อ..ขอเล่าถึงอาหารเช้ากันซักหน่อย เป็นไลน์อาหารเช้าทั่วๆ ไปนั่นแหละ ซอสเซส เบคอน แฮม ไข่ ออมเล็ตเป็นหลัก ซีเรียล โฮลวีท ขนมปังหลากชนิดพร้อมแยมผลไม้อร่อยๆ มีเพิ่มขึ้นมาก็เป็นอาหารหนักๆ แบบไทยๆ เช่นผัดซิอิ๊ว ข้าวต้มหมู-ไก่ แกงจืด แล้วก็อะไรอีก 2-3 อย่างจำไม่ได้แล้ว เครื่องดื่มก็มีชา กาแฟ โกโก้ โอวัลติน น้ำผลไม้ ฯลฯ เอาเป็นว่าไม่ได้ดีเลิศประเสริฐสุข แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่ถึงขนาดรับไม่ได้ ได้ตามมาตรฐานที่หวังจะได้รับ

 
ได้รับการยืนยันจากสองนักชิม ว่าอาหารเช้าอร่อยใช้ได้ครับ..

จากรีสอร์ทเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าเข้าตัวเมืองกาญจน์ จุดหมายแรกที่ต้องไม่พลาดคือสุสานทหารสัมพันธมิตร(ดอนรัก) เป็นสุสานเชลยศึกสัมพันธมิตรที่เสียชีวิตในการสร้างทางรถไฟสายมรณะไปประเทศพม่าในสงครามโลกครั้งที่ 2 จำนวน 6,982 ศพ เราไปดูภาพกันครับ..

 

  
ญาติใครกันบ้างก็มาเดินหาดูกันได้ที่นี่ / สองหนุ่มถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก

จากสุสานดอนรัก มุ่งหน้าต่อไปทางสู่ถ้ำกระแซ ไปทางเดียวกับเส้นทางไปน้ำตกไทรโยค แต่จะถึงทางแยกไปสถานีรถไฟถ้ำกระแซก่อน เอาล่ะเดี๋ยวจะงงกันไปใหญ่ ลองดูแผนที่นี้ประกอบไปด้วยก็แล้วกัน


ภาพจาก http://www.kanchanaburi.com/

เราไปดูภาพที่สถานีถ้ำกระแซกันครับ..

 
2 นายแบบกิตติมศักดิ์ประจำทริปนี้

  
รีสอร์ทแนวแอดเวนเจอร์มีให้บริการ ใครชอบลุยๆ มาเลยสนุกแน่ / มุมบังคับ..ใครมาถึงก็ต้องถ่ายเก็บไว้

  
คุณอาติ่งบ้าง เดี๋ยวจะว่ามาไม่ถึงเนอะ.. / อาติ่งถ่ายกับน้องเอแคลร์แล้วก็พี่บอลด้วย

  
ป๊ะป๋าขอถ่ายด้วย..เอาไว้เป็นหลักฐาน

 
มองย้อนกลับมาเห็นสถานีถ้ำกระแซ / พื้นที่บริเวณรีสอร์ท..ไม่บอกชื่อหรอก..ไม่ได้มาโฆษณา

 
ถ่ายรูปหมู่เก็บไว้..เพื่อบอกว่าพวกเราเคยมาที่นี่แล้ว

ทางรถไฟนั่นสามารถเดินไปถึงอีกฝั่งนึงได้ด้วยนะ ถ้าเดินไหว แต่แดดร้อนมาก พื้นไม้ก็ผุไปมากแล้วแต่ก็เดินไปบนไม้หมอนรถไฟแทนได้ มีอีกวิธีที่จะข้ามไปอีกฝั่งก็คือขับรถอ้อมไปซะเลยดีกว่า เขาว่ามีร้านค้า มีของขาย สะดวกสบายกว่าฝั่งนี้ แต่พวกเราไม่ได้แวะหรอก

ออกจากถ้ำกระแซ จุดหมายต่อไปคือ “ช่องเขาขาด หรือ HELLFIRE PASS” ขับตรงผ่านน้ำตกไทรโยคไป วันที่ไปบริเวณน้ำตกรถทัศนาจร รถส่วนตัว รถตู้นำเที่ยวและอีกสารพัดรถอะไรต่อมิอะไรเยอะมากกกกกกถึงมากที่สุดดดด แทบไม่มีเหลือช่องทางจราจรให้ผู้ใช้ถนนร่วมกันได้สัญจรผ่านกันไปได้ เพราะด้วยความไร้ระเบียบวินัยของคนขับรถที่มักง่ายเอาแต่ความสบายส่วนตัวหาที่จอดไม่ได้ที่ก็จอดคาขวางไว้เสียช่องทางจราจรไป 1 ช่องทางเพื่อให้กลุ่มคนขับเหล่านั้นได้ก่อจราจลแย่งที่จอดกัน ทั้งที่เลยไปสักนิดก็จอดได้แต่เดินไกลนิดนึง ก็ไม่ยอมจะต้องจอดให้ตรงทางเข้าน้ำตกกันเลยหรืออย่างไร เดินกันสักนิดคงไม่ลำบากเกินไปมั๊ง ไหนๆ ก็ยอมเดินทางกันมาตั้งไกลเป็นร้อยกิโลเมตรแล้ว ถ้าจะต้องเดินอีกสัก 40-50 เมตรเพื่อเข้าชมความงามของน้ำตกตามที่ตั้งใจกันมาคงไม่น่าจะเป็นอะไรมากนะ

ขอโทษที่เอามาบ่นตรงนี้ แต่เห็นแล้วมันสะท้อนถึงวินัยของคนในชาติจริงๆ ถ้าในรุ่นนี้มันแก้ไขกันไม่ได้ ก็ช่วยกันปลูกฝังให้คนรุ่นต่อไปที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความดีได้เติบโตขึ้นมาทดแทนก็แล้วกัน ไม้แก่มันดัดยากซะแล้วนี่

ไปเที่ยวต่อดีกว่า..

 

ช่องเขาขาด หรือ HELLFIRE PASS ตั้งอยู่ภายในกองการเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานทหารพัฒนา หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา บริเวณกิโลเมตรที่ 64 -65 บนทางหลวงหมายเลข 323 (กาญจนบุรี-ไทรโยค-ทองผาภูมิ) เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเครื่องมือเครื่องใช้ ภาพถ่ายแสดงการทำงานขุดเจาะภูเขาด้วยมือโดยใช้เพียงกำลังคน ไม่มีเครื่องจักรใดๆ ทั้งสิ้น มีการฉายภาพยนตร์ที่บันทึกการทำงาน ความเป็นอยู่ของเชลยศึกที่ถูกทหารญี่ปุ่นเกณฑ์มาเพื่อสร้างทางรถไฟ มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติเดินลงไปยังช่องเขาขาดที่มีอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกความทรงจำอันแสนเจ็บปวดในครั้งนั้น ยังมีรางรถไฟเก่าหลงเหลืออยู่เป็นบางช่วงด้วย

  
มีป้ายบอกทางเดินศึกษาประวัติศาสตร์และธรรมชาติเป็นระยะๆ พร้อมทั้งให้ข้อมูลในแต่ละจุดด้วย

  
มีบันไดให้เดินลงมาสู่ทางรถไฟเก่า แต่เหนื่อยโฮกๆ.. / ต้นไม้ใหญ่ที่ยืนต้นอยู่กลางช่องเขา กลายเป็นสัญญลักษณ์ของที่นี่ไปแล้ว..

  
ลองดูว่าต้นใหญ่ขนาดไหน เทียบกับทีมงานของเรา..จะอายุกี่ปีลองนึกเอาแล้วกัน..

 
ทางรถไฟสาย พม่า-ไทย ปี ค.ศ.1942 – 1945 ..อนุสรณ์แห่งความทรงจำที่เลวร้ายสำหรับเชลยศึกทุกนายที่ต้องมาทนทุกข์ทรมานและเสียชีวิตไปอย่างมากมาย..

  
เก็บภาพร่วมกันเอาไว้สักหน่อย..จะได้กลับมาโม้ให้ใครต่อใครฟังได้..

 
เข้ามาดูในพิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำกันบ้าง..กับการทำงานของเชลยศึกในการสร้างทางรถไฟ

  
แบบจำลองพื้นที่ที่เชลยศึกอาศัยและทำงาน ตำแหน่งแนววางรางรถไฟ / รวมทั้งประวัติของสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย

กลับที่พักดีกว่า ดูแล้วมันเศร้าๆ ยังไงไม่รู้ ร้อนก็ร้อน เหนื่อยก็เหนื่อย หิวก็หิว รีบออกเดินทางย้อนกลับเข้าเมืองกาญจน์เพราะเริ่มบ่ายคล้อยมากแล้ว เดี๋ยวจะค่ำมืดซะก่อนจะเดินทางกันลำบาก ระหว่างทางแวะซื้อไส้อั่วชื่อดังของที่นี่ เด็กๆ กินข้าวกันเพราะเสียพลังงานกันไปเยอะจากการเดินศึกษาประวัติศาสตร์ที่ช่องเขาขาด จากนั้นก็ขับยาวๆ เข้าเมืองกาญจน์กันเลยมาเจอฝนตอนก่อนถึงตัวเมืองกาญจน์ เลยไม่ได้แวะเข้าไปเก็บภาพยามเย็นที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว ไม่เป็นไรเอาไว้คราวหน้ามากันใหม่ก็ได้

ถึงรีสอร์ทเกือบ 6 โมงเย็น เด็ก 2 คนก็รีบกระวีกระวาดลงไปสระว่ายน้ำโดยทันทีที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ป๊ะป๋าก็เหมือนเดิมเก็บเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วก็ตามลงไปเฝ้าที่ริมสระเหมือนเดิม

  
เด็กๆ กับสระว่ายน้ำเนี่ย..เรียกได้ว่าเป็นของคู่กันอย่างแยกไม่ขาดเลยทีเดียว

ค่ำวันนี้พากันออกไปหาอะไรกินกันเป็นอาหารเย็นที่ท่าม่วง ชื่อร้านอะไรผมก็จะไม่ได้แล้วเพราะไม่มีกะจิตกะใจจะจดจำอะไรแล้ว ทั้งหิวทั้งง่วง กินอิ่มอยากล้มตัวลงนอนนอนเต็มที่เพราะเหนื่อยมาทั้งวัน หมดวันนี้แบบสะบักสะบอมหลับเป็นตายเลยตรู

เช้าวันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2554 ตื่นมาตั้งแต่ 7 โมงเด็กสองคนลงสระว่ายน้ำกันอีกแล้ว เช้านี้ป๊ะป๋าไม่ลงไปเฝ้าปล่อยให้เล่นกันไปจน 8 โมงครึ่งก็ออกไปที่ระเบียงหลังห้องเรียกให้ขึ้นมาได้แล้วจะได้ไปทานอาหารเช้ากัน เพราะกว่าจะอาบน้ำแต่งตัว จะได้เตรียมเก็บเสื้อผ้าแว่นตา กางเกงว่ายน้ำให้เรียบร้อย เพราะวันนี้พวกเราจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ กันแล้ว เดี๋ยวลองลงไปดูที่หาดทรายส่วนตัวของที่นี่กัน

 
นั่นไงล่ะ ลงสระว่ายน้ำกันตั้งแต่เช้ากันเลย

  
บริเวณสวนหย่อมของรีสอร์ท อยู่บริเวณหาดทรายส่วนตัว..มีน้ำตกเล็กๆ ตรงนี้ด้วยนะ

 

 
สองคนนี่..เค้าเล่นอะไรกันอยู่นะ..?

 
ทิ้งท้ายด้วยวิวอ่างเก็บน้ำก็แล้วกัน..

ออกจากรีสอร์ทได้ก็แวะส่งพี่บอลที่ท่าม่วง แล้วก็แวะซื้อส่าหริ่มและของฝากที่โรงงานวุ้นเส้นท่าเรือ เค้ามีศูนย์อาหารด้วยนะ มีให้เลือกกินมากมายหลายหลาก ที่จอดรถมากมายสะดวกสบายจริงๆ  ขนมส่าหริ่มของเค้าคุยไว้ว่าเก็บไว้ได้ถึง 5 วันแต่ต้องไม่ใส่ตู้เย็นนะ ผมลองชิมแล้วอร่อยจริง คอนเฟิร์ม แต่ไม่รู้ว่าเก็บไว้ 5 วันจริงหรือเปล่า? เพราะมันหมดซะก่อนจะถึง 5 วันนะซิ..

จากนั้นออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ ไม่ได้แวะที่ไหนอีกเลยจนถึงบ้านที่บางกะปิในเวลาประมาณบ่าย 2 โมงครึ่ง โดยสวัสดิภาพปลอดภัยเหมือนเคย ตราบใดที่เราตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ขอให้ทุกท่านเที่ยวสนุก มีเงินใช้ไม่ขาดมือทุกคนนะครับ

ขอบคุณครับ..

>> คลิ๊กไปดูตอนที่ 1 << || >> คลิ๊กไปดูตอนที่ 2 << || >> คลิ๊กไปดูตอนจบ <<

 

เขียนเมื่อ : วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ.2554 เวลา 20:05 น. GMT+7 THAILAND
ผู้เขียน : Tombass

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น