วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ณ ที่แห่งนั้น ..

กริ๊งงงงงงง … กริ๊งงงงงงงงงงง … เจ้าเข็มยาวจอมขยันเพิ่งเดินผ่านเลข 9 บนหน้าปัทม์นาฬิกาปลุกของผมไปได้กว่าห้านาทีแล้วทั้งที่เจ้าเข็มสั้นยังเดินไปไม่ถึงเลข 6 ด้วยซ้ำ เสียงนาฬิกาปลุกที่ดังยาวมาหลายนาทีแล้วก่อนที่ผมจะเอื้อมมือไปกดปิดเสียงอย่างขี้เกียจ พร้อมกันกับที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมายเพื่อจะเผยอเปลือกตาอันหนักอึ้งให้ตื่นขึ้นมาแบบไม่ค่อยเต็มใจนักในเช้าวันที่บรรยากาศสุดแสนจะอึมครึม ท้องฟ้ายามเช้าที่เคยสดใสก็กลับกลายเป็นสีเทามืดสลัวราวกับตอนเย็น เพราะเมฆฝนสีดำทะมึนก้อนใหญ่ที่ยังคงลอยตระหง่านไร่เรี่ยกับยอดตึกที่เห็นรำไรอยู่ไกลๆ ทั้งยังทำหน้าตาถมึงทึงส่งเสียงดังครืนๆ ขู่กรรโชกคำรามกึกก้องกัมปนาทจนแสบแก้วหูชวนให้ดูน่าครั่นคร้ามเป็นยิ่งนัก ฝนเม็ดใหญ่ที่เคยฉ่ำเย็นก็พลันเหมือนจะพลอยโมโหโกรธาเกรี้ยวกราดสาดกระแทกกระทั้นใส่หลังคาบ้านประหนึ่งว่าจะทะลุผ่านเข้ามาทำลายมนุษย์ตัวเล็กทั้งหลายที่อาศัยอยู่ใต้ฟ้าให้ย่อยยับอัปราไปให้จงได้ เหมือนกับเธอคงไม่สบอารมณ์กับพฤติกรรมอันน่ารังเกียจมากมายของหลายคนที่เห็นแก่ตัวในสังคมทุกวันนี้

ผมเหลียวมองดูภาพเบลอๆ รอบตัวด้วยตาที่พร่ามัวจากรูม่านตาที่เพิ่งขยาย จิตใต้สำนึกที่เริ่มตื่นตัวสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเงียบเชียบ เวิ้งว้าง เย็นยะเยือกเสียวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก ระงมหูกับเสียงห่าฝนนับล้านเม็ดที่สาดกระแทกหลังคาดังโครมๆ ประสาทสัมผัสบอกกับตัวผมว่ากำลังถูกดวงตาของปีศาจภูตทมิฬจับจ้องมองอย่างอาฆาตมาดร้ายอยู่ทุกย่างก้าว สภาพภายในห้องนอนก็ดูไม่คุ้นตาเอาเสียเลย นี่ผมอยู่ที่ไหนกันแน่นะ?

หลังจากขยี้ตาสลัดความขุ่นมัวของสติสัมปชัญญะที่ระคนกับความงุนงงสงสัยถึงเคหาสถ์นิวาสถานที่ผมอาศัยพักพิงหลับนอนเมื่อคืน นี่มันไม่ใช่ห้องนอนที่แสนอบอุ่นของผมนี่นา!!! มันเป็นเพียงแค่ศาลาเพิงพักเล็กๆ ริมถนนบนหนทางสายเปลี่ยวเส้นหนึ่ง ที่ทอดยาวมุ่งหน้าตรงผ่านสู่ทุ่งหญ้าสีซีดเหลืองยืนแห้งตายเกลื่อนกราดบนพื้นดินที่แตกระแหงเป็นร่องลึก อันอาจเกิดจากเพราะต้องกับพลังแสงแห่งตะวันอันร้อนแรงที่แผดเผาเสียจนไม่หลงเหลือธารน้ำแห่งชีวิตซักหยดบนผืนดินแห่งนี้อีกต่อไป

พายุฝนที่สาดกระเซ็นอย่างรุนแรงเมื่อสักครู่ บัดนี้ได้หยุดตกไปแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ราวกับไม่เคยมีเรื่องราวใดๆ เกิดขึ้นมาก่อน พื้นดินที่ได้ชุ่มฉ่ำกับเม็ดฝนที่โหมกระหน่ำพรั่งพรูนั้น เพียงชั่วครู่นั้นก็พลันต้องกลับมาเผชิญกับแสงแดดที่เริ่มร้อนแรงขึ้นอีกเรื่อยๆ เป็นเท่าทวีคูณจากดวงอาทิตย์ดวงใหญ่โตมโหฬารกว่าที่ผมเคยพบเจอ มันอยู่ใกล้กับผมมากๆ มากเสียจนสามารถมองเข้าไปเห็นถึงพื้นผิวได้ หินลาวาหลอมเหลวสีแดงเพลิงดังเลือดสดๆ ที่กำลังเดือดพล่านไหลทะลักพุ่งกระฉอกไปทั่วทั้งดวง

รอบตัวผมขณะนี้มีเพียงต้นไม้ใหญ่สูงชะลูดยืนตายซาก กิ่งก้านที่แห้งแข็งหงิกงอแผ่ซ่านไปรอบทิศชวนให้คิดพลันคอยยื้อยุดฉุดกระชากจินตนาการให้เตลิดเปิดเปิงเห็นเหมือนดังมืออันเหี่ยวย่นเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกของดวงวิญญาณอันชั่วช้าที่คอยไขว่คว้ามุ่งจับเอาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ผ่านไปมา พื้นดินทุกระแหงที่ร้อนระอุคุกรุ่นไปด้วยไอแดดที่ระเหยขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทุกย่างก้าวที่ผมข้ามผ่านไปนั้นมันช่างร้อนรุ่มไปทั่วสรรพางค์กายดั่งเหยียบย่างไปบนกองเพลิงแห่งนรกที่รุมแผดเผาร่างกายอันอ่อนล้าของผมราวกับจะให้มอดไหม้มลายสลายหายกลายเป็นฝุ่นผงธุลีเสียในบัดดล ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็ไม่เห็นแม้เงาของอะไรอีกเลย นอกเสียจากเส้นขอบฟ้าสีแดงเพลิงยาวสุดลูกหูลูกตาราวกับว่าที่แห่งนี้มันไม่มีจุดสิ้นสุดและดวงอาทิตย์ดวงใหญ่ที่พร้อมจะแผ่รังสีความร้อนมหากาฬลงมาเผาผลาญคร่าทุกชีวิตบนโลกนี้ให้ดับสิ้นสูญเพียงชั่วพริบตา

ถนนที่ผมเดินมาเมื่อสักครู่ตอนนี้ก็หายไปแล้ว ไม่รู้ทิศ ไม่รู้ทาง นี่ผมอยู่ที่ไหนกันแน่? ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่? แล้วผมมาทำอะไรที่นี่และกำลังจะไปไหน? ทำไม? ทำไม? แล้วก็ทำไม? หลากหลายคำถามที่ไร้ซึ่งคำตอบต่างผุดขึ้นมาในสมองอย่างไม่ขาดสาย

ผมรีบออกก้าวเดินอย่างเร็วจนแทบจะวิ่งไปอย่างไร้ทิศทางไร้จุดหมาย พร้อมกับสวดอ้อนวอนให้พระเจ้าองค์ไหน เทพองค์ใดหรือใครก็ได้มาช่วยผมด้วย โปรดช่วยบอกทางให้ผมที จะเป็นเส้นทางไหนก็ได้ขอเพียงแค่ออกไปให้พ้นจากที่แห่งนี้เสียที แต่ยิ่งวิ่งไปก็ยิ่งดูเหมือนจะถลำลึกเข้าไปสู่หุบเหวแห่งนรกโลกันต์ลงสู่อเวจีอันลึกสุดใต้โลกภูมิ ผมเริ่มอ่อนล้าหมดแรง คอแห้งผาก ไม่มีน้ำแม้สักหยดให้ได้ชื่นใจ เหงื่อไคลไหลย้อยไปทั่วทั้งตัว เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อผสมปนเปกับฝุ่นผงดินแห้งที่คละคลุ้งไปทั่วในอากาศอันอบอ้าวร้อนระอุนั้น มันได้ฝังรอยทิ้งคราบโคลนอันสกปรกโสโครกติดตรึงเอาไว้ในเนื้อหนังบนตัวผม ประหนึ่งว่าท่านได้ตีตราความชั่วที่ผมได้เคยทำไว้ให้เผยกระจ่างออกมาเมื่อวันเวลาแห่งการพิพากษาดำเนินมาถึง

ผมนั่งลงฟูมฟายกับตัวเอง รำพึงถึงเงินมากมายที่เฝ้าเพียรขวนขวายหามาทั้งชีวิตนั้นมันไม่สามารถช่วยให้ผมออกไปพ้นจากที่แห่งนี้ได้เลยแม้สักนิด มีคนเคยบอกว่า เมื่อชีวิตคนเริ่มสิ้นหนทาง หมดปัญญาจะแก้ไขใดๆ แล้ว ในห้วงแห่งภวังค์ ณ ช่วงเวลาสุดท้ายก็จะเริ่มคิดย้อนกลับไปหาเรื่องราวเก่าๆ ที่เคยทำ เปรียบได้กับการพินิจพิเคราะห์ถึงการกระทำทั้งดี-ชั่วที่ได้ปฏิบัติมาตลอดช่วงอายุ เฉกเช่นการรู้สึกสำนึกผิด-ชอบ ชั่ว-ดีในสิ่งที่ได้ล่วงเกินต่อใครๆ ทั้งกาย วาจา ใจ และเพื่อที่จะได้ขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรที่ยังคงผูกกันในภพภูมิใดๆ อีกด้วย

นี่เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผมหรือนี่? หรือนี่ผมกำลังจะตายใช่ไม๊? ถึงได้มาอยู่ในช่องว่างระหว่างภพภูมิทั้งสาม อันเป็นที่ซึ่งไม่มีกาลและเวลา ช่วงเวลาในที่แห่งนี้นั้นไม่มีวันสิ้นสุดจนกว่าจะถึงเวลาของแต่ละคน จะถอยกลับก็ไม่ได้ จะไปต่อก็ไม่ถึง ไร้ซึ่งจุดหมาย เคว้งคว้างไร้ทางออก ที่ซึ่งมีแต่ผมคนเดียวเท่านั้น การที่เริ่มสงบใจได้ทำให้ผมมีเวลาทบทวนทุกช่วงเวลาแห่งความทรงจำในอดีต ที่ว่าถ้าหากเป็นช่วงเวลาปกติแล้วผมไม่มีทางจะจำได้เลย แต่ในที่แห่งนี้ทุกอย่างกลับผุดขึ้นมาเหมือนกับหนังเก่าที่ฉายอดีตทุกตอนของเราให้ดูโดยไม่ขาดตกบกพร่อง

ตั้งแต่เกิด พ่อ-แม่เฝ้าทะนุถนอมดูแลอย่างอบอุ่น เมื่อโตขึ้นเป็นวัยรุ่นก็เริ่มไม่พอใจพ่อ-แม่ที่คอยดุด่าว่ากล่าวตักเตือนอย่างเป็นห่วงเป็นใยแต่เรากลับใช้คำพูดสบถหยาบคายทำร้ายจิตใจท่าน เป็นผู้ใหญขึ้นมาก็ไม่ได้เหลียวแลดูแลท่านอย่างที่ควรเพียงเพราะข้ออ้างเดิมๆ ที่ว่าทำงานเยอะ งานยุ่ง ต้องหาเงินเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัว ท่านก็ไม่เคยปริปากกลัวลูกจะเสียใจ ทำได้ก็เพียงแต่เฝ้ารอลูกชายกลับบ้านมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาแค่นั้น จนมาถึงวันนี้ที่เราหายไป ท่านก็คงจะกระวนกระวายร้อนใจอยู่เป็นแน่ และยังอีกหลายต่อหลายเรื่องกับอีกหลายต่อหลายคนจนผมหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

กริ๊งงงงงงงง … กริ๊งงงงงงงงงงงงง … ผมหลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่ก็ตื่นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุกดังยาวอีกครั้ง ฟ้ายังไม่สว่างดี ตีห้าสี่สิบห้านาทีเหมือนเดิมหรือ? ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ อีกใจก็หวังว่าอยากให้เรื่องร้ายๆ ที่เจอนั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน ผมกดปิดเสียงนาฬิกาปลุก แล้วเอามือลูบไปข้างๆ ความหาอะไรก็ได้ที่บ่งบอกว่าผมอยู่ในห้องนอน และความรู้สึกก็บอกว่านี่ผมกำลังนอนอยู่บนเตียงอันอ่อนนุ่มในห้องนอนที่แสนอบอุ่นของผมนี่ ผมดีใจตะโกนเสียงดังลั่นบ้าน รีบวิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อจะไปบอกรักพ่อกับแม่ของผมให้สมกับที่ไม่ได้บอกท่านมานานกว่าสิบปีแล้ว แต่ก็ไม่เห็นมีใครอยู่บ้านเลย พ่อ-แม่ของผมท่านออกไปไหนกันนะ?

ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมอยากไปวัดแถวๆ บ้านที่ครอบครัวของเราเคยไปทำบุญกันบ่อยๆ ครั้งเมื่อสมัยผมยังเป็นเด็ก อาจจะเป็นเพราะผมเพิ่งผ่านความฝันอันน่ากลัวในคืนสยองที่เหมือนจริงมากๆ มาก็เป็นได้ เลยขับเจ้าบีเอ็มสปอร์ตคันเก่งออกไปที่วัดเพื่อที่จะไปทำบุญใส่บาตรแต่เช้ามืด แต่ตลอดทางจนถึงวัดก็ไม่มีใครออกมาขายของใส่บาตรซักเจ้าเดียว ฟ้าก็กำลังมืดลงเหมือนฝนจะตกอีกด้วย

ผมได้เจอแม่ของผมอยู่ที่วัดตามที่คาดไว้ ท่านนั่งสงบนิ่งอยู่ที่หน้าศาลาพร้อมกันกับที่ได้ยินเสียงเตรียมเคารพธงชาติลอยมาตามลมแผ่วๆ หรือว่านี่จะเป็นหกโมงเย็นล่ะมั๊ง จนไถ่ถามได้ความว่ามางานศพกัน แม่รู้สึกเมื่อยก็เลยออกมานั่งรอลูกอยู่ข้างนอกนี่แหละ ผมเห็นแล้วดูเหมือนว่าวันนี้จะเป็นวันเผานะ แขกเหรื่อของเจ้าของงานเริ่มทยอยกันกลับแล้ว แขกหลายคนผมก็รู้จักเสียด้วยสิ ดูเหมือนจะเป็นคนในหมู่บ้านที่ครอบครัวเราอยู่กันนี่แหละ พอเดินเข้าไปก็เจอพ่อกับน้องสาวกำลังรับแขกอยู่หน้าตาอิดโรยมากเหมือนไม่ได้พักผ่อนมาเป็นสัปดาห์

ขณะที่กำลังจะเดินเข้าไปถามถึงเรื่องราวว่ามันเป็นมาอย่างไรกัน? ก็พลันเหลือบไปเห็นรูปถ่ายที่หน้างานทำเอาผมยืนหน้าซีดเผือดตาค้างช็อคจนแทบหยุดหายใจ ก็นั่นมันรูปแม่ของผมนี่ ผมเพิ่งเจอแม่ข้างนอกเมื่อกี้นี่เองนี่นา ส่วนรูปถัดมาข้างๆ กันนั่นแหละที่ทำให้ผมช็อคเสียยิ่งกว่า ไม่ใช่รูปของใครอื่นเลย มันก็คือรูปตัวผมเองนั่นแหละที่ตั้งอยู่ที่หน้าเมรุ พร้อมกันก็ได้ยินเสียงข่าวโทรทัศน์ท้องถิ่นช่องหนึ่งรายงานว่า “หนุ่มใหญ่เจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ประสบอุบัติเหตุถูกรถกระบะพุ่งข้ามเกาะมาชนประสานงาเสียชีวิตคาที่ในรถบีเอ็มสปอร์ตคันหรู ผู้เป็นแม่ช็อคซ้ำหัวใจวายเสียชีวิตแล้ว เผาวันนี้ที่วัด … … … … … ”

 

เขียนเมื่อ : วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2556 เวลา 22:52 น. GMT+7 TH
ผู้เขียน : นายเมษา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น