วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

20120505-07 ไปนอนเต๊นท์ริมทะเลบางเบิด .. ที่ชุมพร .. ตอนที่สอง

| ตอนแรก | ตอนที่สอง |

> > > ลิ้งค์ไปอ่านแบบรีวิวในเวบบอร์ด > > >

 

แฮ่ม .. หายไปหลายวันเลย มัวแต่ไปยุ่งๆ เตรียมการหาวิธีดูบอลยูโร 2012 เพราะแกรมมี่ไม่ให้ผู้ให้บริการทีวีดาวเทียมรายอื่นๆ ออกอากาศช่องฟรีทีวี แล้วอย่างงี้ฟรีทีวีที่ดูจากจานดาวเทียมก็ไม่ได้เป็นฟรีทีวีแล้วน่ะสิ เอ๊ะ .. หรือมันยังไงกัน? สุดท้ายก็เลยต้องไปหาเสาหนวดกุ้งก้างปลามาเสียบ เมื่อวานดูวันแรกแทบแยกไม่ออกว่าอันไหนนักฟุตบอลอันไหนสัญญาณรบกวน เฮ้อ ..

กลับมาเข้าเรื่องของเราต่อกันดีกว่า ทิ้งท้ายตอนที่แล้วกันไว้ที่จบวันที่สอง แล้วก็ตามสัญญาครับ มาดูบรรยากาศภายในเต๊นท์ที่พักของเรากันครับ จากการที่เป็นเต๊นท์ผ้าใบและมีการใช้งานมานานแล้ว กางไว้แบบยึดติดถาวร ท้าแดดท้าลมท้าฝนอยู่มานานสองนาน เลยทำให้สภาพเก่าคร่ำคร่าไปบ้าง มีร่องรอยการชำรุดเสียหายของขอบซิปประตูหน้า-หลังและในจุดที่ต้องเปิด-ปิดบ่อยๆ

 
ด้านหน้าเต๊นท์ บริเวณของซิปขาดเป็นทางยาว ซิปด้านล่างก็ขาดเช่นกัน ต้องไปขอเทปกาวผ้ามาแปะไว้กลัวตัวอะไรจะมุดเข้ามา บรื๋อว์ … 

ด้านหลังเต๊นท์ส่วนที่เป็นห้องน้ำที่ถูกตีปิดไว้ด้วยไม้ไผ่ก็ดูเก่าโทรมไม่แพ้กัน อีกทั้งต้นไม้ที่ปลูกอยู่ภายในก็รกรุงรังดูเหมือนขาดการดูแล และปัญหาที่พบคือเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ที่อยู่ในห้องน้ำที่เป็นแบบ Outdoor ไม่มีหลังคาปกคลุม ทำให้ไม้ไผ่เหล่านั้นเก่าโทรมมีเชื้อราขึ้นไปทั่ว มองแล้วรู้สึกไม่สะอาดเลย โดยรวมในบริเวณห้องน้ำนั้นเป็นแหล่งรวมของฝุ่นต่างๆ มากมายเพราะดูจะไม่ได้มีการดูแลเช็ดถู รวมถึงมดแมลง สัตว์เลื้อยคลานต่างๆ อีกที่ต้องระมัดระวังให้ดีด้วย

 
รั้วไม้ไผ่ที่เห็นนั่นแหละคือส่วนของห้องน้ำ Outdoor สุดๆ ไม่มีหลังคาเลย ต้นไม้ก็เยอะ มดแมลงรวมถึงสัตว์เลื้อยคลานก็เลยมีประชากรเยอะตามไปด้วย 

สำหรับหนุ่มๆ อย่างเราๆ ก็อาจจะไม่ได้กลัวอะไรมากมาย แต่สำหรับคุณสาวๆ ขืนพวกนี้โผล่มาตอนกำลังอาบน้ำอาบท่า มีหวังได้กรี๊ดกร๊าดวี๊ดว๊ายกระตู้ฮู๊กันลั่นบ้านแน่ๆ ส่วนพื้นห้องน้ำที่เป็นหินกรวด แล้วฝังตอไม้ สวยในดีไซน์แต่สอบตกเรื่องการใช้งาน ไม่สะดวกเอาเสียเลย ให้ตายสิ! ออกมาเข้าห้องน้ำเสร็จ เดินกลับเข้าเต๊นท์เท้าก็เลอะอีกแล้ว

ในส่วนตัวผมว่าส่วนที่เป็นบ้านพักน่าจะสะอาดปลอดภัยกว่านะ อย่างเต๊นท์เนี่ยจะออกไปข้างนอกแต่ละทีต้องแบกของมีค่าทั้งกล้อง กระเป๋าเงิน โทรศัพท์มือถือ แล็ปท็อป ฯลฯ เอาไปด้วย เพราะประตูเข้า-ออกเต๊นท์ขอบซิปก็ขาดแล้ว และมีเพียงกญแจอันเล็กๆ ที่ให้ไว้ใช้เกี่ยวกับหูซิปเพื่อล๊อคเต๊นท์ ดูยังไงก็ไม่น่าไว้วางใจในเรื่องความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สินอยู่ดีแหละ ดังนั้นแนะนำให้พักในส่วนที่เป็นบ้านพักจะดีกว่า เว้นเสียแต่ว่าใจรักจะพักให้ได้อารมณ์แบบนักผจญภัยจริงๆ ก็ว่ากันไปตามแต่ใจปรารถนา


(ซ้าย) มีต้นไม้สูงใหญ่อยู่หลังเต๊นท์ติดกับห้องน้ำพอดี ดึกๆ เวลาออกไปนั่งปลดทุกข์เจ้าต้นนี้จะอยู่ข้างหน้าพอดี  มองขึ้นไปมืดๆ จินตนาการพริ้งเพริดกระเจิดกระเจิง .. บรู๊วววววส์ .. (ขวา) ทางเดินจากถนน เข้าไปที่หน้าเต๊นท์

เข้าไปดูข้างในกันดีกว่า


รูดซิปเปิดเข้ามาก็จะเจอแบบนี้


ปลายเตียงมีตู้ใส่เสื้อผ้า, โต๊ะเครื่องแป้งแต่งสวยสำหรับคุณผู้หญิง, แอร์และโต๊ะวางของ

 
(ซ้าย) ถัดมาก็เป็นชั้นวางทีวีพร้อมทีวีจอแบน มาพร้อมกับช่องดาวเทียมของ PSI จานดำที่ติดอยู่ข้างๆ เต๊นท์นั่นแหละ มีละครหลังข่าวให้ดู มีมิวสิควีดีโอเพียบทั้งไทย, สากลหรือลูกทุ่ง ใต้ทีวีก็เป็นตู้เย็น (ขวา) พื้นที่ใช้สอยในเต๊นท์ก็มีพอสมควรไม่มากไม่น้อย นอนกันสบายๆ ไม่อึดอัด


อีกด้าน ตรงข้ามกับทีวีจะมีเก้าอี้ยาวปูด้วยที่นอนยางพาราพร้อมโต๊ะวางของอีกหนึ่งตัวและโคมไฟหัวเตียง

 
(ซ้าย) เต๊นท์มีหน้าต่างอยู่รอบด้าน จะเปิดรับอากาศจากภายนอกบ้างก็ดี (ขวา) มีโคมไฟเป็นพู่ระย้าห้อยอยู่ตรงกลางด้วยนะ


เตียงนอนครับ ยับไปหน่อยเพราะถ่ายไว้วันกลับ วันแรกถ่ายไม่ทันนายแบบประจำทริปกระโดดขึ้นไปกลิ้งซะก่อนแล้วแต่ผมค้าง 2 คืนก็ยังไม่เห็นมีการมาสอบถามว่าจะให้ทำห้องหรือเปล่าเลย หรือต้องให้ request ไปก่อน?

เอาเป็นว่าสำหรับเรื่องการให้บริการผมคิดว่ายังไม่เป็นมืออาชีพซักเท่าไหร่ ดูเหมือนว่าจะเป็นการทำรีสอร์ทในแบบครอบครัวซะมากกว่า ดังนั้นถ้าใครจะเข้ามาใช้บริการก็อย่าได้คาดหวังเรื่องบริการให้สูงเกินไปนักนะครับ คิดเสียว่ามาพักรีสอร์ทแบบโฮมเสตย์หรือมานอนบ้านพ่อแม่ของเพื่อนจะรู้สึกดีกว่า

คราวนี้เดี๋ยวพาไปเดินริมทะเลชมบรรยากาศสวยๆ ในรีสอร์ทกันบ้าง ตามมาเลยครับ


สนามหญ้านี่อยู่ติดชายหาดเลยนะ


ส่วนสระว่ายน้ำเป็นแบบฟรีฟอร์ม ก็ติดชายหาดเช่นเดียวกัน ว่ายน้ำเล่นท้าแดดท้าลมกันไป พร้อมฟังเสียงคลื่นซัดสาดพร้อมกันอีกด้วย

 
(ซ้าย) อีกด้านอยู่ชิดแนวต้นมะพร้าว ได้อารมณ์แบบโพลินิเชี่ยนเลยนะนั่น (ขวา) ใครเหนื่อยหรือร้อนก็มานอนหลบแดดแอบพักชื่นชมกับความงดงามของท้องฟ้าสีคราม น้ำทะเลสีเขียวมรกต และหาดทรายสีทองของหาดบางเบิดกันได้

 
(ซ้าย) เส้นทางไหน้ำพุ เดินระวังด้วยนะพื้นบางที่แตกหักผุพังไปบ้างแล้ว (กลาง) อาบน้ำล้างตัวกันก่อนและหลังขึ้น-ลงสระว่ายน้ำเพื่อสุขอนามัยที่ดีของผู้ใช้สระร่วมกัน (ขวา) นึกถึงโต๊ะเรียนสมัยเด็กๆ เลย 555+

 
ตรงนี้คิดว่า น่าจะเป็นพื้นที่สำหรับจัดปาร์ตี้ชุดว่ายน้ำ เพราะอยู่ติดกับสระว่ายน้ำเลย มีเตาปิ้งบาร์บีคิวด้วยนะ


ส่วนตรงกลางนั่น คาดว่าคงจะเป็นบาร์เครื่องดื่มกลางแจ้ง ให้บริการสำหรับแขกที่มาปาร์ตี้ริมสระกัน

 
(ซ้าย) เดินต๊อกๆๆ ออกไปริมถนน ตกร่องที่แตกอยู่ก็ตอนนี้แหละ มัวแต่หามุมถ่ายรูป เลยไม่ทันมอง (ขวา) โคมไฟภายในรีสอร์ท กลางคืนก็ไม่ได้สว่างอะไรนักหนาแต่สวยอ่ะ .. ส่วนเต๊นท์ก็ตั้งอยู่ห่างๆ กันแบบนี้ ถ้าไม่มีเสียงคาราโอเกะเมื่อคืนแล้ว ก็นับว่าสงบเงียบเป็นส่วนตัวมากๆ เลยล่ะ

ดูกันไปพอหอมปากหอมคอแล้ว รีบกลับไปเก็บเสื้อผ้าเช็คของดีกว่า เดี๋ยวจะต้องออกเดินทางกันแล้ว ออกสายมากไม่ได้เพราะระยะทางไกลมาก อีกทั้งยังวางแผนกันว่าจะแวะเที่ยวตามรายทางอีกด้วย ขืนมัวแต่ชักช้าเถลไถลกันไปเรื่อยคงจะถึงกรุงเทพฯ เอาตอนมืดตึ๊ดตื๋อแน่ๆ

คิดได้ดังนั้น จึงเรียกรวมพลเพื่อออกเดินทางกันซะเลยจะเหมาะกว่า เก็บของเรียบร้อยอาขึ้นรถขับออกไปเช็คเอ้าท์คืนกุญแจ แล้วรีบบึ่งกันไปอาศัยจีพีเอสช่วยนำทางไปเรื่อย ขับออกมาถึงทางแยกวิ่งเห็นป้ายบอกทางไปจุดชมวิว ตัดสินใจเลี้ยวไปโดยพลันไม่ต้องลังเล บนเส้นทางนี้มีจุดสนใจอยู่ 2-3 ที่ ขับไปตามทางเรื่อยๆ เจอที่ไหนก่อนก็แวะเที่ยวเก็บไปทั้งหมดทุกที่นั่นแหละ


แยกข้างหน้านั่นแหละ เลี้ยวขวากลับไปเข้าถนนเพชรเกษม ถ้าเลี้ยวซ้ายก็ไปตามป้ายนี้แหละ

ถนนในช่วงนี้เป็นถนนในโครงข่ายถนนเลียบทะเล หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Scenic Route” ครั้งก่อนที่ผมไปเที่ยวจันทบุรีก็ได้ขับไปชมบรรยากาศ Scenic Route ของที่นั่นเหมือนกัน มีโอกาสชมวิวสวยของโค้งถนนเลียบทะเลช่วงที่เค้าชอบไปถ่ายโฆษณาโทรทัศน์กันเยอะๆ นั่นแหละครับ ส่วน Scenic Route ของที่นี่ก็มีความงดงามของชายฝั่งทะเลที่ไม่แพ้กันเลย มีช่องทางสำหรับจักรยานโดยเฉพาะด้วย เผื่อว่าใครอยากจะปั่นสองล้อเพื่อซึมซับสภาพความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติและความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่นี่ดูบ้าง รวมระยะทางแล้วก็ยาวหลายกิโลเมตรอยู่เหมือนกัน แดดก็ร้อนเอาเรื่องเลยทีเดียว แต่รถยนต์และรถใหญ่มีวิ่งกันไม่มากนัก เส้นทางนี้จึงค่อนข้างจะปลอดภัยเลยทีเดียว

แล้วพวกเราก็เดินทางมาถึงจุดหมายแรกบนเส้นทางนี้ “หนึ่งในสยาม เนินทรายงามที่ชุมพร” (The Most Distinct Thai Sand Dune in Chumphon) เป็นเนินทรายที่ก่อตัวกันขึ้นมาตามธรรมชาติ มีความสูงใหญ่และยาวนับกิโลเมตร พืชพันธุ์ธรรมชาติต้นไม้ใบหญ้า สามารถเจริญเติบโตกันได้บนเนินทรายแห่งนี้ ไม่ได้มีแต่หญ้าหรือต้นไม้เล็กๆ นะครับ ต้นไม้ใหญ่ก็ขึ้นได้บนเนินทรายนี้เหมือนกัน แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของเนินทรายแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี

 

ออกจากเนินทรายงาม ก็ไปกันต่อที่จุดชมวิวอ่าวทุ่งมหา ที่อยู่ภายในบริเวณของวัดแก้วประเสริฐ ซึ่งมีองค์เจ้าแม่กวนอิมสูง 9.99 เมตรประทับเด่นเป็นสง่าเห็นชัดมาแต่ไกลและยังมีพระพุทธมหารัตนมณีเศวตพิสุทธิ์ ที่กำลังสร้างอยู่ให้พุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธาได้สักการะด้วย ที่ขาดไม่ได้เลยของชาวชุมพรและชาวเรือทุกคนก็คือศาลของเสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรเขตต์อุดมศักดิ์ที่ประทับอยู่คู่กับเสด็จพ่อ ร.5 ในศาลรูปเรือที่ตั้งอยู่บนเนินเขา และยังมีอีกหลายองค์ให้ได้เลือกนมัสการตามแต่ศรัทธาของแต่ละคน ลองหาข้อมูลของวัดแก้วประเสริฐเพิ่มเติมได้ที่เวบไซต์ของทางวัดได้เลย


จุดชมวิว มีที่จอดรถมากมายสะดวกสบายปลอดภัย แต่ผมขึ้นมาถ่ายภาพอยู่บนวิหารพระสังกัจจายน์

 
(ซ้าย) ดูนายแบบของผมบ้างนะ (ขวา) พระสังกัจจายน์ แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ อยู่ดีกินดี

 
(ซ้าย) ศาลที่ทำเป็นรูปเรือประทับรูปหล่อของเสด็จพ่อ ร.5 และเสด็จเตี่ย กรมหลวงชุมพรเขตต์อุดมศักดิ์ อันเป็นที่เคารพรักยิ่งของชาวเรือทุกคน (ขวา) ดูกันใกล้ๆ เข้าไปอีกนิด


พระพุทธมหารัตนมณีเศวตพิสุทธิ์ องค์ใหญ่กำลังอยู่ในระหว่างก่อสร้าง งั้นก็ไหว้กันที่องค์เล็กไปก่อนนะ


องค์เจ้าแม่กวนอิม สูงถึง 9.99 เมตร ต้องมีศรัทธาเท่านั้นถึงจะทำสำเร็จได้

ผ่านไปจะครึ่งวันแล้วเนี่ยยังอยู่ที่ชุมพรอยู่เลย เอาล่ะเราไปกันต่อเลยดีกว่า ขับย้อนออกมาทางเดิมตรงยาวจนสุดทางเลี้ยวซ้ายกลับเข้าสู่ถนนเพชรเกษมขาล่องตรงไปชิดขวาโดยด่วนเพื่อกลับรถมาวิ่งในช่องทางขาขึ้นเพื่อกลับกรุงเทพฯ ผ่านมาจนเห็นป้ายบอกทางเลี้ยวขวาเข้าไปพระมหาธาตุเจดีย์ภักดีประกาศ กลับรถอีกรอบเพื่อเลี้ยวเข้าไปชมเจดีย์กัน เข้าไปตามทางมองหาป้ายแล้วขับตามไปเรื่อยๆ ผ่านเข้าไปในสวนปาล์มของชาวบ้าน แล้วไปออกถนนอีกทีไปต่ออีกหน่อยก็ถึงแล้ว มองเห็นเจดีย์ตั้งอยู่บนภูเขา เดี๋ยวเราจะเข้าไปดูพร้อมๆ กัน

ทางขึ้นเป็นเส้นทางราดยางอย่างดีให้ขับวนขึ้นไปเรื่อยๆ โปรดใช้ความระมัดระวังให้มากๆ เพราะเส้นทางค่อนข้างชันพอสมควรทีเดียว กรุณาใช้เกียร์ต่ำเพื่อเสถียรภาพในการควบคุมรถของท่าน ซักแค่อึดใจก็จะขึ้นมาถึงบริเวณลานจอดรถที่มีบริเวณกว้างขวางใหญ่โต รถทัวร์ขนาดใหญ่ขึ้นมาได้สบายมากเห็นจอดกันอยู่หลายคันเลย

บริเวณด้านหน้าก่อนเข้าเจดีย์ก็มี “พระพุทธกิติศิริชัย” องค์ใหญ่ให้ได้ไหว้พระขอพรเอาฤกษ์เอาชัยให้ปลอดภัยแคล้วคลาด และรอบๆ องค์พระก็มีรูปหล่อของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังให้ได้กราบไว้บูชา ด้านข้างประตูทางขึ้นเจดีย์ก็มีร้านขายกาแฟ เครื่องดื่มให้ได้นั่งพักผ่อนให้เหนื่อยหายคลายร้อนกันด้วย

 


ให้ชมวิวข้างหลังนะครับ .. นานๆ จะได้มีรูปตัวเองกับเค้าบ้าง ได้ออกสื่อกับเค้าซักทีเนาะ 555+

 
(ซ้าย) รูปคู่พ่อ-ลูกบ้าง ไม่ค่อยมีรูปคู่กันเลยเนอะเราสองคนเนี่ยะ (ขวา) โดยจรรยาบรรณจึงไม่สามารถเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงได้ เลยถ่ายข้างหลังมาให้ดูแทน 555+

ไหว้พระกันเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าประตูไปตามถนน ขึ้นเนินไปอีกหน่อยพอได้เหงื่อก็จะถึงเจดีย์ ประตูด้านหน้าจะปิดอยู่ตลอด ต้องมีเส้นสายหรือรู้จักคนในถึงจะเปิดให้เอารถขับขึ้นไปได้ ชาวบ้านธรรมดาตาสีตาสาไม่มียศไม่มีบั้งอย่างเราๆ เนี่ยก็ต้องเดินขึ้นไปสถานเดียวเท่านั้น แต่พวกเราก็ไม่ท้อหรอกเพราะมากันด้วยศรัทธาอยู่แล้ว เรื่องเดินขึ้นแค่นี้ไม่มีปัญหา


เดินขึ้นไปตามทางนี้แหละ มียักษ์ 2 ตนยืนเฝ้าอยู่ตรงทางขึ้น แต่ถ้าใครมีเส้นมาสายใหญ่โตก็สามารถขับรถขึ้นไปได้ ยักษ์ก็เอาไม่อยู่หร๊อกกก

 
เจ้ายักษ์เอ๋ย ตัวจะใหญ่แค่ไหนก็ไม่มีใครกลัวพวกเจ้าแล้ว เพราะที่นี่เมืองไทยตัวไม่ต้องใหญ่แต่เส้นใหญ่จะทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น

 
(ซ้าย) อย่างนี้สินะ ที่เค้าเรียกกันว่า .. พูดจนลิงหลับ .. จริงๆ (ขวา) หน้าป้ายชื่อนั่นทางขวาจะเป็นบันไดเดินขึ้นไปบนเจดีย์ แต่ดูที่ทางจะร้อนพวกเราเลยเดินอ้อมไปขึ้นทางด้านหลังแทน


พระมหาเจดีย์ภักดีประกาศ งดงามสมคำร่ำลือจริงๆ คุ้มค่ากับการเดินทางไป-กลับร่วม 1,000 กิโลเมตรเพื่อให้ได้มาชมด้วยตาของตัวเอง

 
ชมภาพความงดงามของพระมหาเจดีย์ฯ กันไปเรื่อยๆ นะครับ

 
ถ้ามีเวลาและโอกาสเหมาะๆ ผมว่าเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่จะต้องมาชมความวิจิตรงดงามเช่นนี้ให้ประจักษ์ชัดด้วยตาตัวเองซักครั้งในชีวิต


และยังได้มากราบไหว้สักการะพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ด้านในพระมหาเจดีย์ เพื่อเป็นการเสริมสิริมงคลแก่ชีวิตของเราเองอีกทางหนึ่งด้วยด้วย

 
(ซ้าย) ไหว้พระบรมสารีริกธาตุเสร็จแล้วก็เดินลงบันไดกลับลงไปด้านล่าง (ขวา) ลองมองขึ้นไปบ้าง

 
(ซ้าย) บันไดพญานาค 5 หัว (ขวา) คนไทยเรารักกันนะ

หลังจากเสร็จเรียบร้อย ตามเจอตัวสมาชิกร่วมทริปกันครบทุกคนแล้ว พวกเราก็พร้อมจะออกเดินทางกันอีกครั้ง นี่ก็บ่ายโขแล้วยังไม่ได้กินข้าวกลางวันกันเลยซักคน กินชาเขียวกับกาแฟกันไปคนละนิดละหน่อย ก็เลยไปแวะที่ทับสะแกเพื่อกินข้าวกลางวันกันที่ร้าน Coffee-Go ก็เห็นป้ายโฆษณาอยู่ตลอดข้างทางก่อนถึงร้านร่วมๆ 60 กิโลเมตรเลย เลยสงสัยว่าจะมีอะไรดีๆ ให้ได้ลองชิมกันบ้าง ต้องไปพิสูจน์กันซักหน่อยซิ แต่กว่าจะมาถึงก็ปาไปบ่าย 3 โมงเย็นเข้าไปแล้ว

 
(บน) หน้าร้าน Coffee-Go (ล่างซ้าย) เลี้ยวเข้าไปเป็นที่จอดรถ แต่น้อยไปหน่อยจอดได้ซัก 3-4 คันก็เต็มแล้ว (ล่างขวา) ป้ายหน้าร้าน

 
(ซ้าย) อาหารอร่อย ราคาไม่แพง (ขวา) มีของฝากขายให้ได้จับจ่ายซื้อหากันได้

 
(ซ้าย) บรรยากาศดีๆ (กลาง) สวนหย่อมสวยๆ (ขวา) ห้องน้ำสะอาด

 
อย่างไรเสีย หากมีโอกาสได้เดินทางผ่านไปเส้นทางแถวนั้น ก็ลองแวะไปชมแวะไปชิมกันได้ เราก็เพียงแต่ได้รับความพึงพอใจในอาหารและบริการที่ได้รับก็เลยเอามาบอกมาเล่าสู่กันฟัง

จากนั้นก็ตรงยาวกลับกรุงเทพฯ ความตั้งใจที่จะแวะเที่ยวซานโตรินี่ ปาร์ค ก็มีอันต้องล้มเลิกไปอีกเพราะมาถึงชะอำก็เกือบทุ่มแล้ว เลยเอาไว้โอกาสหน้าค่อยมาเที่ยวแล้วกัน จากนั้นก็แวะซื้อของฝากที่ร้านนันทวัน เพชรบุรี ได้ของไปฝากใครต่อใครคนละอย่างสองอย่าง จะได้ไม่ถูกครหรนินทาว่าไปเที่ยวตั้งไกลแต่ไม่มีของฝาก ฮึ ..

โอยยยย .. ขอปิดทริปนี้ที่ตรงนี้เลยแล้วกัน บอลยูโร 2012 คู่ระหว่างเยอรมันกับโปรตุเกสกำลังจะมาแล้ว ไปนอนดูก่อนล่ะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมกันมาตลอดทั้งสองตอน เชียร์บอลกันอย่างมีความสุขนะครับ

ชมภาพเพิ่มเติมได้ที่
https://plus.google.com/u/0/photos/103736898918551133698/albums/5865877006433497985

| ตอนแรก | ตอนที่สอง |

> > > ลิ้งค์ไปอ่านแบบรีวิวในเวบบอร์ด > > >

เขียนเมื่อ : วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2555 เวลา 1:40 น. GMT+7 THAILAND
ผู้เขียน : Tombass

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น