| วันแรก | วันที่สอง | วันที่สาม | วันที่สี่ | วันที่ห้า |
Trip : LAOS PDR; Pakse, Champasak
Route : Bangkok - Ubon Rachathani - Pakse
Duration : 5D4N
Depart : THU.10 MAY,2012
Arrive : MON.14 MAY,2012
Destination : Wat Pu Temple, Don Det, Don Khon, Li Phi, Khon Pha Peng, Tad Yuang, Tad Fane, Pha Souam, Tribe Village
วันที่สอง (ศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2555) กลับมาต่อกันเลยครับ เช้านี้งัวเงียตื่นขึ้นมาแบบไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไรนัก แหม .. ก็มันยังไม่ 6 โมงเช้าเลยนี่นา .. ความขี้เกียจเลยยังเกาะกุมไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย มานึกขึ้นได้ว่านี่ตรูสู้อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกลหลายร้อยกิโลเมตร เพื่อมาเปิดหูเปิดตารับโลกใบใหม่ จะมัวมานอนขี้เกียจอยู่เช่นนี้ เห็นทีคงจะไม่ได้การเป็นแน่ เลยลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่า ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อยแล้วก็ปลุกเอแคลร์ขึ้นมาจัดการตัวเองบ้าง ส่วนป๊ะป๋าก็เก็บกระเป๋ารอไปพลางๆ เสร็จพร้อมๆ กันก็จะได้ลงไปกินอาหารเช้าซะที
กินอาหารเช้ากันที่นี่ครับ ..
รายการอาหารเช้าของที่นี่ เป็นบุฟเฟ่ท์มีทั้งไทยทั้งฝรั่งเลือกกินกันได้ตามใจชอบ เทียบค่าห้อง+อาหารเช้าแบบนี้ก็คุ้มแล้วล่ะกับราคาไม่ถึงพัน อีกทั้งยังมีรถรับ-ส่งสนามบินอีกต่างหาก ไม่ต้องหรูมาก ราคาสมเหตุสมผลแบบนี้ก็คบกันได้ยาวๆ ไปเลย
ชา กาแฟ น้ำผลไม้ครบครัน / Section ของไข่ก็มีครบทุกแบบ แต่ถ่ายมาแค่เนี๊ยะเพราะรีบไปนั่งกิน รถตู้จะมารับอยู่แล้ว
สลัด, ขนมปัง / หรือจะเป็นกับข้าวแบบไทยๆ
กินเสร็จก็ขึ้นไปเอากระเป๋า ตรวจตราข้าวของในห้องอีกทีว่าไม่ได้ลืมอะไรไว้ แล้วลงลิฟท์ไปรอเช็คเอ้าท์เลย เพราะรถตู้จะมารับตอน 8 โมงเช้า พวกเราเหมารถตู้จากฝั่งอุบลฯ ของทีมงานอุบลแบงค์ ข้ามไปเที่ยวตลอดการเดินทางในปะเทดลาวทั้ง 3 วัน 2 คืน พร้อมกับไกด์ลาวด้วยอีกคนเพื่อพาเราเที่ยวและให้ข้อมูลสถานที่เที่ยวต่างๆ พร้อมกับช่วยอำนวยความสะดวกด้านอื่นๆ ด้วย
คนขับรถตู้ชื่อคุณสิทธิ์ ขับรถดีมาก นั่งแล้วรู้สึกปลอดภัยทั้งสูงวัยและอ่อนวัย เราออกเดินทางจากตัวเมืองอุบลฯ ประมาณ 8 โมงกว่า ขับผ่านไปหลายอำเภอผมจำชื่อไม่ได้ซักอำเภอ เพื่อจะไปข้ามแดนที่ด่านช่องเม็ก เอกสารผ่านแดนคุณสิทธิ์ก็ช่วยเป็นธุระไปจัดการมาให้ แล้วก็ยังช่วยเขียนอีก เราเองก็เขียนไม่ค่อยเป็นเลยต้องอาศัยผู้ชำนาญการมาคอยจัดการให้ พวกเราใช้พาสปอร์ตเลยสะดวก ไม่ต้องเสียเวลาไปทำ Border Pass เขียนเสร็จคุณสิทธิ์ไปจัดการเรื่องขั้นตอนพิธีการตรวจเอกสารผ่านแดน แล้วก็มาเรียกพวกเราให้ลงไปเดินผ่านด่านกันเอง ส่วนคุณสิทธิ์จะขับรถตู้ผ่านด่านไปรอที่ฝั่งลาวเลย
ออกเดินทางกันแล้ว ..
แล้วก็มาถึงด่านช่องเม็ก
Departure เข้าประตูนี้ / รถตู้คันนี้จะเป็นเพื่อนร่วมทางกันอีก 3 วัน .. / ในหลวงอันเป็นที่รักของคนไทยทุกคน ..
ผ่านด่านมา ก็เดินลงอุโมงค์ลอดไปขึ้นที่ฝั่งปะเทดลาว เดินตามเค้าไปเรื่อยๆ จะมีไกด์ลาวที่ติดต่อกันไว้มายืนรอรับพวกเราที่ทางออก แล้วพาไปนั่งรอในร้านดาวเรือง เป็น Duty Free ตั้งอยู่ที่หน้าด่านนั่นแหละ แล้วไกด์จะเอาเอกสารและพาสปอร์ตของพวกเราไปดำเนินการ,ประทับตราที่ด่านในฝั่งลาว ส่วนพวกเราก็เดินดูของรอกันไปตามอัธยาศัย
สุดเขตประเทศไทยแล้วจ้า .. / ลงอุโมงค์นี้แหละ ..
ในอุโมงค์ / ขึ้นมาก็เดินออกมาทางนี้ / เจอป้อมรักษาการณ์ก่อนเลย ..
ใช้พาสปอร์ตอยู่ได้ 30 วันไปได้ทั่วปะเทดลาว
ผ่านประตูเข้าไป สองคนพ่อลูกก็พากันเดินถ่ายรูปโน่นนี่นั่นไปจนทั่วร้าน เดินแวะไปเข้าห้องน้ำผ่านร้านกาแฟสดที่ส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจ ชวนให้ลิ้มลองสัมผัสรสชาติกาแฟลาวที่ขึ้นชื่อในเรื่องความเข้มข้นจัดจ้านในรสชาติ คุณอาเลยต้องลองซัก 1 แก้วใหญ่ อร่อยเข้มได้ใจจริงๆ
ร้านดาวเรือง เป็นร้านค้ายกเว้นพาสี / ร้านกาแฟลาว .. รสชาติเข้มได้ใจ ..
ด้วยความสะเพร่าที่ไม่รู้จักสังเกตุป้ายห้ามที่แปะอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า เลยโชว์เกรียนด้วยการเดินถ่ายรูปไปทั่วร้าน ทั้งๆ ที่เค้าห้ามถ่ายรูป มิน่าล่ะ .. ทำไมมีแต่คนมองเราด้วยสายตาแปลกๆ ทำเสียชื่อคนไทยตั้งแต่เริ่มเหยียบแผ่นดินปะเทดลาวเลยตรู มารู้ก็ตอนที่คุณอาเดินมาบอกว่าห้ามถ่ายรูปนั่นแหละ เฮ้อ .. โชคยังดีที่เจ้าหน้าที่เค้าไม่จับโยนออกมานอกร้าน เลยแก้เก้อด้วยการแกล้งทำเขินเดินออกมาถ่ายรูปโน่นนั่น เก็บบรรยากาศที่นอกร้านแทน 555+ .. อายจังวุ๊ย .. !*#%$
เดินถ่ายโน่น ..
เดินถ่ายนี่ ..
สุดท้ายก็ต้องออกไปเดินถ่ายนั่น ..
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ไกด์ก็เดินมาเรียกพวกเราให้ไปขึ้นรถตู้กันได้แล้ว พร้อมออกเดินทางได้ เดินออกมาจากร้านดาวเรือง ก็มีแม่ค้าขายซิมโทละสับ มาเสนอขายซิมบอกว่าสามารถใช้ 3G ได้ 100 MB ราคา 60 บาทมีเงินให้ในซิม 15 บาทมั๊ง คุณอาเลยซื้อไว้เผื่อจะได้ลองใช้ 3G ของปะเทดลาวดูบ้าง และที่สำคัญก่อนออกจากหน้าด่านรถทุกคนต้องไปเข้าแล็บปฏิบัติการพ่นยาฆ่าเชื้อทุกล้อกันซะก่อน ถึงจะไปต่อได้
ซิมโทละสับ 3G ในปะเทดลาว .. ลองดู สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ ..
จุดฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ / นี่คือแล็บปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ..
ออกจากด่านมาก็มุ่งหน้าเข้าเมืองปากเซกันก่อนเลย นั่งมองถนนหนทางและสภาพความเป็นอยู่ ทำให้นึกถึงบ้านที่อยู่สมัยผมยังเด็กๆ บ้านของคนลาวจะปลูกกันอยู่ห่างๆ ถนราดยางวิ่งสวนกันเหมือนถนนในหมู่บ้านตามต่างจังหวัด การจราจรเบาบาง มีหมูเห็ดเป็ดไก่วัวควายเดินกันตามริมถนน บางครั้งก็เดินข้ามถนนกันเป็นฝูงใหญ่ ก็ต้องจอดรอให้เค้าข้ามไปให้หมดก่อน ถ้าหากรถไปชนสัตว์เลี้ยงเหล่านี้เข้า คนขับต้องจ่ายค่าเสียหายให้เจ้าของเหมือนซื้อสัตว์ตัวนั้นไปเลยอ่ะ คนลาวจะใช้รถจักร (มอเอตร์ไซค์) และรถถีบ (จักรยาน) เป็นพาหนะหลักในการเดินทาง แต่พอเข้าเขตเมืองก็มีความเจริญมากขึ้นตามลำดับเช่นเดียวกับไทยเรานี่แหละ
ไกด์เล่าให้ฟังว่า คนลาวขี่รถไม่เคยมองหลังหรอก อยากจะเลี้ยวก็เลี้ยว อยากไปซ้ายไปขวาก็ไปโลด ขับรถใหญ่ต้องระวัง เพราะรถใหญ่ชนรถเล็ก รถใหญ่ผิด แต่รถเล็กชนรถใหญ่ รถใหญ่ก็ผิดอีกเหมือนเดิม อ้าวววว .. ไหงเป็นงั้นหว่า ?!?!?
มีป้ายบอกชัดเจนใหญ่โต .. จากปากเซไปเที่ยวที่ไหน? ระยะทางเท่าไหร่?
สภาพบ้านเรือนของชาวบ้านบริเวณด่าน
ไกด์ยังเล่าต่ออีกว่า ระดับฐานะของคนลาวจะดูได้จากบ้านที่อยู่นี่แหละ คนส่วนมากโดยทั่วไปจะเป็นบ้านไม้ ส่วนถ้ามีฐานะขึ้นมาหน่อยก็จะปลูกเป็นครึ่งไม้ครึ่งปูน ส่วนคนมีอันจะกินก็จะอยู่บ้านปูนกัน ที่เป็นเช่นนี้เพราะอุปกรณ์ก่อสร้างที่ลาวจะราคาแพงมาก ต้องนำเข้าเท่านั้นไม่สามารถผลิตได้เอง และทรัพย์สินอีกอย่างที่บ่งบอกฐานะของชาวลาวได้ดีก็คือสัตว์เลี้ยงนั่นเอง ใครมีวัวควายมากก็หมายถึงคนนั้นมีฐานะดี เรียกได้ว่าเป็นคนมีตังค์ว่างั้นเถอะ เวลาจะไปขอแต่งเมียลาวเนี่ย นอกจากเงิน,ทองแล้วอาจจะมีวัวหรือควายนี่แหละพ่วงไปด้วยเป็นหน้าเป็นตากับทั้งสองฝ่าย
บ้านไม้ สำหรับคนทั่วๆ ไป / บ้านปูน สงวนไว้เฉพาะคนมีตังค์ (เยอะ) เท่านั้น ..
เข้าในเมืองปากเซแล้วนะ ที่เจอก่อนเลยคือ กุ่มบลิสัด ดาวเรือง / วุดทิ-สักก็มี / ไอทีซิตี้ก็มาเปิดให้บอลิกานด้วยเช่นกัน
เกือบเที่ยงแล้วพวกเราเดินทางมาถึงเมืองปากเซ ก่อนจะเข้าโรงแรมก็บอกให้ไกด์ช่วยพาไปหาอะไรง่ายๆ กินกันเป็นมื้อกลางวันก่อน ตกลงกันได้ว่าไปกินก๋วยเตี๋ยวแล้วกัน ที่ลาวเรียกว่าเฝอแฮะ สั่งมากินกัน 5 ชาม หน้าตามันก็เหมือนกับบะหมี่เกี๊ยวบ้านเรานี่เองนี่หว่า แต่ราคาสุดโหดมื้อนี้มีบะหมี่เกี๊ยว (เฝอ) 5 ชาม ชาเขียว 2 ขวด น้ำแข็ง 5 แก้ว รวมทั้งหมด 590 บาท เอ่อ .. มันแพงกว่า Food Court ในห้างดังของบ้านเราซะอีกนะนั่น
เฝอมื้อแรกในปะเทดลาว .. ไม่อร่อยเล๊ยยย ..
มานั่งคำนวณดู อืมมมม .. ชาเขียวขวดละ 40 บาท น้ำแข็งแก้วละ 2 บาท ถ้างั้นเฝอก็ชามละ 100 บาทนะสิ ง่า .. ขอโทษเถอะครับถ้าอร่อยจะไม่เสียดายเงินเลย แต่นี่บะหมี่เกี๊ยวที่กินที่อุบลฯ เมื่อค่ำวานนี้ ราคาแค่ 30 บาทเองนะตะเอง แถมยังอร่อยกว่าเยอะแยะด้วย เล่นตีหัวเข้าบ้านแบบนี้ ประทับใจสุดๆ เลยอ่ะนะ มื้อแรกก็โดนซะแล้วพวกเรา เฮ้อ ..
โรงแรมจำปาสัก พาเลด
เสียอารมณ์ว่ะ .. รีบไปเช็คอินดีกว่า จองโรงแรมจำปาสัก พาเลดเอาไว้ 2 คืน อยากจะเป็นเจ้ากับเค้าซักครั้ง เลยจองที่นี่เพราะจะได้ลองนอนในวังกันบ้างซักที ที่นี่เดิมทีเคยเป็นวังที่ประทับของเจ้าบุญอุ้ม ที่เป็นเจ้าผู้ครองแขวงจำปาสักองค์สุดท้ายก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2518 ด้านหน้าของโรงแรมหันหน้าสู่แม่น้ำโขง ด้านหลังติดแม่น้ำเซโตน วิวสวยมากมองเห็นแม่น้ำได้ทั้งสองด้านและยังเห็นวิวของเมืองปากเซอย่างชัดเจนอีกด้วย
เป็นวังเก่าของเจ้าบุญอุ้ม
มาม๊ะเดี๋ยวจะพาไปชมห้องพักของเราบนชั้น 3 อันเป็นชั้นสูงสุดที่คนทั่วไปจะพักได้ ส่วนชั้นที่สูงขั้นไปกว่านี้ก็จะเป็นห้องพักของแขกระดับ VIP, ผู้นำประเทศ หรือแขกบ้านแขกเมือง สมเด็จพระเทพฯ ก็ทรงมีห้องประทับส่วนพระองค์ที่ชั้นบนสุดของโรงแรมนี้ด้วยเหมือนกัน
บรรยากาศดี กว้างขวาง ไม่อึดอัด ..
มองเห็นวิวเมืองปากเซชัดเจน ..
ห้องพักของพวกเราคือ 305 เป็นห้องแบบเตียง Twin แต่เราขอเตียงเสริมด้วยเพราะนอนกัน 3 คน เตียงเสริมเป็นเตียงเหล็กพับ ที่นอนกับหมอนที่เสริมมาเนี่ยะ .. นิ่มมากกกกกก นอนแล้วอาจจะปวดหลังได้ง่ายๆ แต่ห้องกว้างขวางมาก เอ๊ะ .. น่าเรียกว่าทั้งกว้างทั้งยาวจะเหมาะกว่า มีทีวี ตู้เย็น โคมไฟ โต๊ะแต่งหน้าทาปาก และโต๊ะเก้าอี้อีกชุด ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำ น้ำร้อน-เย็นครบครับ ส้วมเป็นแบบชักโครก มีสายฉีดชำระพร้อม ปลั๊กไฟมีหลายจุดให้คุณชาร์จสมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต หรือแล็ปท๊อปได้สบายๆ โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์แปลงหัวปลั๊กแต่อย่างใด ในตู้เย็นมีมินิบาร์ให้ส่วนหนึ่งมีราคาแจ้งไว้ชัดเจน พร้อมน้ำเปล่าให้ 3 ขวดต่อวัน (ห้องผมเสริมเตียงเลยได้มากกว่าห้องอื่น) ส่วนอีกห้องคือห้อง 307 ภายในเหมือนกันทุกแพทเทิร์นขนาดเท่ากัน แต่ห้องนี้คุณปู่กับคุณย่านอนกันแค่ 2 คนเท่านั้น
เตียงแบบ Twin, เตียงเสริมตั้งริมหน้าต่างด้านในสุดนั่นแหละ ..
โต๊ะเก้าอี้ชุดนี้ย้ายไปไว้ข้างทีวี เพราะเป็นที่ของเตียงเสริม / ในตู้เย็นมีอะไรบ้างเอ่ย?
ในห้องน้ำ / ชักโครก มีสายชำระด้วย / อ่างอาบน้ำมาตรฐาน
กระติกต้มน้ำร้อน, น้ำ 2 ขวด (ตอนเค้าเอาเตียงเสริมมา maid ก็เอาน้ำมาเพิ่มให้อีก), แก้ว 2 ใบ พร้อมใบแจ้งราคามินิบาร์ในตู้เย็น / หนังสือนำเที่ยวเมืองลาว เอาไว้นอนอ่านเพลินๆ
โคมไฟหัวเตียง มีปลั๊กไฟให้เสียบชาร์จอุปกรณต่างๆ (มีหลายจุดเลยล่ะ) / ตู้เซฟไว้เก็บของมีค่าสำคัญ / ทีวีรับช่องของไทยได้ครบทุกช่อง ไม่พลาดละครหลังข่าวเรื่องโปรดแน่นอน
ไกด์นัดเวลาเจอกันบ่ายสามโมง โปรแกรมไปเที่ยวกันวันนี้คือปราสาทหินวัดพู ที่อยู่ก่อนถึงเมืองปากเซ หลังจากอาบน้ำอาบท่ากันให้สบายตัวคลายร้อนจากแสงแดดเปรี้ยงของเมืองปากเซเมื่อกลางวันนี้ไปแล้ว เปิดทีวีดูไปพลางๆ รอเวลานัด เจอแต่รายการจากประเทศไทยล้วนๆ ทีวีไทยมีทุกช่อง ใครติดละครหลังข่าว รับรองไม่มีพลาดแน่นอน ละครช่อง 3 กับช่อง 7 ได้รับความนิยมสูงสุด คนลาวจะชอบดูมาก ดูเหมือนจะมากกว่าช่องของลาวสตาร์ซะด้วยซ้ำ ส่วนตอนนี้มีเวลาเหลือเยอะ ผมก็ขอพักสายตาซักชั่วโมง เพราะเพลียแดดแล้วยังตื่นเช้าอีกด้วย
ด้านหลังโรงแรมติดแม่น้ำเซโดน
มองเห็นเมืองปากเซแบบเต็มๆ ตา ..
15:00 น. ไกด์โทรขึ้นมาตามให้ไปเที่ยวกันได้แล้ว ถึงได้เยื้องกรายออกจากห้องลงลิฟท์แก้วมากันโดยพร้อมเพรียง ปราสาทหินวัดพูอยู่ห่างจากเมืองปากเซประมาณ 30 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็ถึงแล้ว แดด (ยังไม่) ร่ม แต่ลมตกแล้ว ไกด์เข้าไปซื้อปี้ก่อน 4 คนเด็กไม่ต้องจ่ายปี้ แล้วก็ซื้อปี้ลดก๊อฟด้วยเพราะจะให้เดินเข้าไปก็คงไม่ไหว .. ไกลเอาเรื่องนะนั่น ส่วนพวกเราก็ไปเข้าห้องน้ำกันเสียหน่อย ต้องแสดงหลักฐานลงหลักปักเขตแดนเอาไว้ ให้ชาวโลกได้รู้ว่าตรูมาถึงที่ปราสาทวัดพูแล้วนะเว๊ยเฮ้ย .. ห้องน้ำสะอาดดีครับ สร้างซะสวยเชียวน๊า ..
รูปปราสาทหินวัดพูที่เราจะไปกัน / นั่งรอที่ล็อบบี้กันก่อน / ข้ามสะพานย้อนกลับไปทางที่เรามา เพราะทางไปปราสาทหินวัดพูอยู่ก่อนถึงตัวเมืองปากเซ
ขายบัดเข้าชิม เอ๊ย .. บัดเข้าชม / เดินเข้ามา .. จงเดินเข้ามา .. / แวะเข้าห้องน้ำกันก่อน ห้องน้ำเค้าสร้างไว้ซะสวยเชียว ..
ผมอ่านเป็นลิงทะบวมตลอด / คอยเก็บปี้ ..
ปี้เข้าชมวัดพู แบบ One day pass / ปี้ลดก๊อฟ
ลดก๊อฟพาไปส่งข้างใน .. แล้วเดินต่อเอง ..
จากจุดจอดลดก๊อฟ ก็ต้องเดินๆๆๆๆ เข้าไปอีกไกลเชียวแหละ เดินกันไปเรื่อยๆ สเต็ปแรกยังเป็นทางราบชันเล็กน้อย พื้นยังเรียบๆ อยู่ หยั่งงี้ยังเดินได้สบายบรื๋อว์ ถึงจุดแวะพักจุดแรก ไหว้พญานาค 7 หัวก่อนเพื่อขอให้เปิดทางให้เราขึ้นไปต่อ จากนั้นก็ขึ้นบันไดด้านข้างเพื่อไปต่อกัน ชักเริ่มชันขึ้นอีกนิดหน่อย แต่พื้นเริ่มไม่เรียบซะแล้วเดินลำบากขึ้นนิดนึง แต่ก็บ่ยั่นเดินขึ้นกันไปอีก ถึงจุดพักที่สอง จุดนี้ไหว้พระกันก่อน ตรงนี้มีแม่ค้ามาขายน้ำดื่มกันด้วย
จากจุดนี้ขึ้นไปนี่แหละของจริง เส้นทางเดินลำบากจริง ต้องเดินขึ้นทางชันฝ่าหินระเกะระกะไปจนสุดทาง เพื่อไปขึ้นบันไดขั้นห่างๆ ที่พื้นบันไดแคบๆ ไม่มีราวจับและชันมากเพื่อขึ้นไปสู่ชั้นบนสุด ค่อนข้างอันตรายทีเดียว ควรใช้ความระมัดระวังให้มาก กว่าจะตะเกียกตะกายขึ้นไปถึงชั้นบน เล่นเอาหน้ามืด เหนื่อยหอบแฮ่กๆ ลมสวาทจะรับประทานเอาให้ได้ หัวใจเต้นตึกตักๆๆๆ แทบจะหลุดออกมานอกหน้าอก คนเป็นโรคหัวใจอย่างผมแทบจะหมดลมเสียให้ได้ ดังนั้นจึงควรประเมินสภาพร่างกายของตัวเองให้ดีก่อนจะขึ้นไปนะครับ ศรัทธาอย่างเดียวไม่พอนะครับที่นี่
ปราสาทด้านนอก ตอนนี้เหลือแต่ฐานรากแล้ว ..
ที่จุดจอดลดก๊อฟ .. ใครกลัวร้อนก็มีร่มให้ยืม (แต่จ่ายตังค์ให้คนให้ยืมด้วยนะ .. 555+)
วันที่ไปมีคณะดูงานจากที่ไหนซักแห่งมาเที่ยวชม ก็เลยมีการมาติดตั้งป้ายผ้าต้อนรับกันอยู่ / แผนที่บริเวณปราสาท รับรองไม่มีหลง / ห้ามลัดผ่านนะจ๊ะ ..
ไกลเอาเรื่องเลย / บูรณะซ่อมแซมอยู่ ..
พญานาค 7 หัวเฝ้าทางขึ้นอยู่ .. ต้องไปไหว้ขอทางกันก่อน ..
ขึ้นไปกันต่อ / หญิงนอนหงาย-ชายนอนคว่ำ
ส่วนเอแคลร์กับไกด์ขึ้นไปถึงกันก่อนนานแล้ว ยังเด็กอยู่พลังงานเลยเยอะ ส่วนคนแก่อย่างผมขอค่อยๆ ตามขึ้นไปจะดีกว่า ความยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามก็อยู่ที่นั่น .. และแล้วสุดท้ายผมก็พาสังขารอันระทดระวยขึ้นไปถึงชั้นบนสุดจนได้ โย่วๆๆ หันไปมองรอบๆ เห็นคนนั่งพักกันเพียบเพราะเพิ่งขึ้นมาถึง ยังเดินต่อไม่ไหวเหมือนกัน
แต่เห็นไกด์ทั้งบ่าวทั้งนางเดินขึ้นเดินลงกันหน้าตาเฉย ไม่มีทีท่าจะเหนื่อยอะไรกันเลย หรือเพราะขึ้นลงกันบ่อยๆ เลยชินแล้ว เอาน่าไกด์ก็ยังหนุ่มๆ สาวๆ กันอยู่ แต่พ่อใหญ่แม่ใหญ่ที่ขึ้นมาขายของนี่สิ เท่าที่ประเมินด้วยสายตาอายุน่าจะซัก 50 กว่าปีกันแล้วทั้งนั้น ไม่ได้เดินขึ้นกันมาแบบตัวเปล่าๆ นะ แบกเอาของขึ้นมาขายกันด้วย ทั้งน้ำแข็ง ลังน้ำอัดลม ของกินสารพัดสารพัน โอ๊ยยยยย .. เค้ายังสามารถแฮะ .. แข็งแรงกันจริงๆ หนอ เล่นเอาคนหนุ่มๆ (เหลือน้อย) เฉกเช่นชาวเมืองอย่างเราๆ เนี่ย ถึงกับอายม้วนกันไปเลยทีเดียว
อีกชั้นนึง .. แวะไหว้พระกันก่อน ..
พื้นหินแบบนี้เดินลำบากจริงๆ / บันไดชันๆ ขั้นห่างๆ พื้นแคบๆ / เทียบกับเท้าของผมแล้วจะเห็นว่ามันแคบแค่ไหน พลาดพลั้งไปคงจบไม่สวยแน่ๆ โปรดใช้ความระมัดระวังให้มากๆ ด้วย
เอ้า .. ไปเที่ยวกันมาตั้งครึ่งวันแล้ว ยังไม่ได้แนะนำไกด์ของเราให้รู้จักกันเลย ไกด์ของเราชื่อ ท้าวบุนล้น พวงมะนี เรียนจบมาทางด้านการท่องเที่ยวโดยตรง มีประสบการณ์เป็นไกด์นำเที่ยวมาหลายปีดีดักแล้ว อัธยาศัยไมตรีดีมาก ช่างพูดช่างคุย จัดการเรื่องต่างๆ ให้พวกเราแทบทุกเรื่อง ช่วยทำให้ทริปนี้ของเราสะดวกสบายขึ้นเยอะแยะ บริการดีมากจริงๆ ขอ Confirm หากใครมีโปรแกรมจะไปเที่ยวลาว อย่าลืมเรียกใช้บริการท้าวบุนล้นได้นะครับ
โฉมหน้าของ ไกด์บุนล้น พวงมะนี / ติดต่อใช้บอลิกานได้ตามนามบัตรเลยครับ
หลังจากพักจนหายคลายเหนื่อยกันไปบ้าง ก็ได้เวลาเข้าไปไหว้พระกัน แล้วก็เดินไปดูบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใต้ชะง่อนผาด้านหลังปราสาท เค้าว่ากันว่าเจ็บป่วยปวดเมื่อยตรงไหน ตั้งจิตอธิษฐานให้มั่นแล้วรองน้ำที่ไหลมาประพรมลูบไล้ไปตรงนั้น แล้วความเจ็บป่วยจะถูกบรรเทาให้คลายหายไป อันนี้ก็ต้องตามแต่ศรัทธาความเชื่อของแต่ละบุคคล ผมก็เอามาลูบหน้าลูบตาเพื่อเป็นสิริมงคลต่อตัวเองเหมือนกัน
วิวสวยคุ้มค่ากับที่ตะเกียกตะกายขึ้นมา ..
ปราสาทหินวัดพู .. ที่เราเพียรพยามยามปีนขึ้นมาเพื่อสักการะกัน ..
ผู้สร้างต้องเปี่ยมด้วยพลังแห่งศรัทธาล้วนๆ ..
บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ .. อยู่ใต้ชะง่อนผานั่นแหละ ..
แล้วก็เดินอ้อมไปดูรอบๆ ปราสาท เก็บภาพอีกนิดหน่อย แล้วก็ได้เวลาเดินลงกันซะที นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นที่มาก่อนก็ลงไปกันหมดแล้ว แต่ก็ยังมีอีกกลุ่มที่กำลังเดินสวนขึ้นมาอยู่เหมือนกัน ตอนนี้มันก็สี่โมงกว่าแล้ว รีบกลับดีกว่า ออกมาน้องๆ พนักงานทยอยกลับบ้านกันไปบางส่วนแล้ว ก็เค้าเลิกงานกันแล้วนี่นา ส่วนเราออกมาก็ว่าจะเข้าไปล้างหน้าล้างตาเสียหน่อย ปรากฎว่าห้องน้ำได้ปิดน้ำไปเรียบร้อยแล้ว น้ำไม่ไหลแล้วอ่ะ ง่า .. เลยต้องกลับแบบเหนียวๆ ทั้งหน้าทั้งแขนหยั่งงั้นแหละ
เดินไปดูรอบๆ ปราสาทกันซักหน่อย ..
ง่า .. ตอนลงนี่ต้องระวังตัวมากขึ้นอีกด้วยนะ เพราะอะไรก็ดูเอาสิ .. ???
ลงมาถึงโดยปลอดภัย .. อย่าประมาทก็ละกัน
นางทั้งหลายกลับบ้านกันไปเกือบหมดแล้ว .. / นั่งรอเราอยู่หรือเปล่า? / เหลือรถตู้ของเรากับอีกคันแค่นั้น ..
ใช้เวลาไม่นานก็ข้ามสะพานเข้าสู่ตัวเมืองปากเซในเวลาเย็นๆ ผ่านสะหนามหลวงแล้วก็ไปแวะร้านโทละสับที่อยู่ตรงข้ามโรมแรมจำปาสัก พาเลด เพื่อให้เค้าตั้งค่าเครื่อง SAMSUNG Galaxy S2 ของคุณอาให้ใช้กับซิมที่ซื้อที่หน้าด่านให้ที เพราะพยายามลองตั้งค่าเองแล้ว ลองโทรไปถามคอลเซ็นเตอร์ก็แล้ว เล่นพูดแต่ภาษาลาวไม่มีภาษาอังกฤษบ้างเลย บางคำเค๊าก็มะเข้าใจน๊าตะเอ๊ง เฮ้อ .. แต่ปรากฎว่าร้านบอกให้รีเซ็ตเครื่องซะงั้น จะใช้ที่ลาวแค่ 3 วันต้อง Reset Factory Setting กันเลยเหรอ ถ้าหยั่งงั้นก็ขอบคุณนะคร๊าบบบบ .. ไม่ต้องดีกว่านะ ..
อาทิตย์อัสดง .. ที่ปะเทดลาว
ภูเขาหัวนมสาว อิอิ .. ผมเรียกเองแหละ (จริงๆ รู้สึกจะชื่อภูนางนอนนะ) .. เหมือนป่ะ? ถ้ามองให้ได้มุมของเค้า จะดูเป็นรูปผู้หญิงหุ่นดีเชียว กำลังนอนหงาย คล้ายมากกกกก .. คนเรานี่ก็ช่างจินตนาการกันไปเนอะ .. แต่ผมก็ชอบนะ แปลกดี ..
สองหลังนี่คือบ้านของลูกเจ้าบุญอุ้ม .. ทางการมายึดไปแล้ว ..
กลับโรงแรมดีกว่า เริ่มมืดแล้วด้วย ไกด์บุนล้นก็นัดเวลาแบบ 6-7-8 แล้วก็แยกย้ายกัน พวกเราก็ขึ้นห้องพัก อาบน้ำล้างตัวแช่น้ำอุ่นเพื่อคลายกล้ามเนื้อเสียหน่อย แล้วมาถึงมื้อเย็นครั้นจะออกไปหาอะไรกินก็เหนื่อยเมื่อยเหลือหลาย จากการที่ได้ขึ้นเดินปราสาทเมื่อบ่ายนี้ ไม่มีใครอยากจะเดินกันแล้ว เลยตกลงปลงใจจะสั่งอาหารจากห้องอาหารของโรงแรมขึ้นมากินบนห้องกันดีกว่า อืมมมม .. รสชาติดีแฮะ ราคาไม่แพงมากด้วย อร่อยกว่าเฝอแพงเทพเมื่อกลางวันเป็นร้อยเท่า
สำราญกับอาหารมื้อเย็นกันเต็มที่ไปแล้ว ก็ได้เวลาพักผ่อนเสียที สลบไสลหมดเรี่ยวแรง ชาร์จน้องไอทิ้งไว้แล้วหลับไปอย่างง่ายดายทั้งสามคน เป็นอันจบวันที่สองของการเดินทางแต่เพียงเท่านี้ ฝันดีนะครับทุกคน ..
พรุ่งนี้มาต่อวันที่สามกันครับ ..
ชมภาพเพิ่มเติมได้ที่
https://plus.google.com/u/1/photos/103736898918551133698/albums/5865884210849512801
ไปชมแบบรีวิว มี 2 ตอนนะ
ตอนแรก : ตอนที่สอง
| วันแรก | วันที่สอง | วันที่สาม | วันที่สี่ | วันที่ห้า |
เขียนเมื่อ : วันจันทร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2555 เวลา 15:43 น. GMT+7 THAILAND
ผู้เขียน : Tombass
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น