วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

20120510-14 .. ทริปลาวใต้ .. สะบายดีปากเซ .. วันที่สี่

| วันแรก | วันที่สอง | วันที่สาม | วันที่สี่ | วันที่ห้า |

 
แดดอ่อนๆ ยามเช้า .. อันแสนอบอุ่น ริมแม่น้ำเซโดน ณ เมืองปากเซ ..

วันนี้ (อาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม 2555) เป็นวันที่สี่ของการเดินทางครั้งนี้แล้วสินะ และเป็นวันสุดท้ายบนผืนแผ่นดินของปะเทดลาวด้วย วันนี้ตามหมายกำหนดการณ์พวกเราจะไปเที่ยวน้ำตก .. น้ำตกแล้วก็น้ำตก สามน้ำตกยอดนิยมอันเป็น landmark ของลาวใต้ แล้วจากนั้นก็มุ่งหน้ากลับ เพื่อไปข้ามด่านให้ทัน 4 โมงเย็น กลับไปนอนที่อุบลฯ อีกคืนก่อนกลับกรุงเทพฯ ในเช้าวันรุ่งขึ้น

เมื่อคืนนอนหลับสบาย แม้แอร์จะดับๆ ติดๆ เพราะเมืองปากเซฝนตกหนักมาตั้งแต่ตอนเย็น โดยตกหนักสลับกับหยุดเป็นช่วงๆ ทีวีเลยไม่ต้องดูกัน แต่อากาศก็ไม่ร้อนนะ กำลังสบายๆ เลยเชียว บวกกับเมื่อตอนกลางวันไปบุกตะลุยฝ่าเปลวแดดอันร้อนระอุที่ท่าเรือบ้านนากะสัง ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำจำนวนมาก ความอ่อนเพลียก็เลยเกาะกุมอยู่ทั่วสรรพางค์กาย พอชาร์จน้องไอทิ้งไว้เรียบร้อย ก็หลับเป็นตายไปได้สนิททั้งคืน

ตื่นแต่เช้าแบบที่อยู่บ้านไม่เคยทำได้ แต่พออกมาเที่ยวกลับกระตือรือล้นที่จะตื่นขึ้นมาเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าของเมืองปากเซ ได้ตื่นมาชมพระอาทิตย์พ้นยอดเขาออกมา เผยแสงสีทองส่องทาบทาไปทั่วท้องฟ้า เป็นความงามที่ไม่ได้หาพบเจอได้ง่ายๆ ในเมืองหลวงของเรา ออกมานั่งรับแสงแดดอันอบอุ่นที่ระเบียงของโรงแรมจำปาสัก พาเลด พร้อมกับฝรั่งชาวต่างชาติ (เอ๊ะ .. จะว่าไป เราก็เป็นชาวต่างชาติเหมือนกันนะเนี่ย .. ) ออกมานั่งซึมซับแสงแดดจนอิ่มอุ่น เสียแต่ว่าถ้าไม่พ่นควันโขมงก็จะดีมากกว่านี้ สงสัยได้อิ่มอุ่นกับแดดอ่อนๆ จนมากเกินไป จนต้องระบายควันออกจากร่างกายบ้าง 555+

วันนี้ต้องรีบลงไปกินอาหารเช้า เพราะเป็นไลน์บุฟเฟ่ท์ เนื่องจากเมื่อบ่ายวานนี้มีกลุ่มทัวร์จากเมืองไทยเข้ามาพักที่นี่ดังที่ได้เขียนไปในเอนทรีก่อนนี้ พอลงมาถึงก็ได้รู้ว่า พวกเราช้าไปเสียแล้ว พี่น้องไทยลงมาถล่มไลน์บุฟเฟ่ท์กันตั้งแต่เริ่มเปิดในเวลาประมาณ 6 โมงเช้า ถึงตอนนี้ก็ 7 โมงเศษอาหารหลายอย่างก็พลันมลายหายไปหมดแล้วหลายอย่าง โดยเฉพาะอาหารหลักๆ ของไลน์อย่างเช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน พวกนี้ไม่ได้เห็นหน้ากันแล้ว เหลือแต่โจ๊ก ข้าวต้ม ขนมปัง ชา กาแฟ น้ำผลไม้ ก็โอเคนะ เพราะเราเองก็ไม่ซีเรียสอยู่แล้ว กินให้เสร็จๆ ไป จะได้กินยา เก็บของ เช็คเอ้าท์ เพราะโปรแกรมวันนี้มี 3 น้ำตกให้ได้ผจญภัยแล้วก็ต้องให้จบครบถ้วนภายใน 4 โมงเย็นด้วย ไม่เช่นนั้นพวกเราจะต้องเสียค่าธรรมเนียมล่วงเวลาในการข้ามด่านอีกโดยไม่จำเป็นเปล่าๆ ปลี้ๆ

เก็บเสื้อผ้า ตรวจตราสิ่งของให้ทั่วห้องว่าไม่ลืมอะไร ก็ลงไปเช็คเอ้าท์ คุณสิทธิ์ขับรถตู้มารอที่หน้าโรงแรมแล้ว เราทำก๊อกน้ำในห้องหักไป 1 อัน ดูตามสภาพเห็นข้างในมันก็สนิมเขรอะจนแทบจะหลุดอยู่แล้ว เห็นปิดแล้วน้ำไม่หยุดไหล ก็เลยไปกดอีกที หักคามือออกมาเลย โดนไป 500 บาท สนับสนุนค่าหัวก๊อกอันใหม่ 555+ แต่ก็ไม่มีปัญหาอื่นใด เช็คเอ้าท์ออกมาเรียบร้อย หลังจากได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ไปเป็นเจ้ากับเค้า ด้วยการนอนวังเก่าของเจ้าผู้ครองแขวงจำปาสักมา 2 คืน บัดนี้ก็ได้เวลาอันสมควร ฐานันดรศักดิ์ก็เลยหล่นจากเจ้ามาเป็นชาวบ้านธรรมดาเหมือนเดิม 555+

จุดหมายแรกของการเดินทางในวันสุดท้ายนี้ก็คือ ไปเยือนที่ตาดเยือง อันเป็นน้ำตกใหญ่สวยงามที่มีความสูง 60 เมตร เป็นน้ำตกที่ไม่ควรพลาดหากจะมาเยือนลาวใต้ คำว่าตาด หมายถึงน้ำตก ส่วนคำว่าเยือง หมายถึงเก้ง อันเป็นที่มาของชื่อตาดเยือง โอ้ววว .. ไม่ต้องเป็นเก้งหรอกครับ ต่อให้ช้างตกลงไปก็ไม่รอดเหมือนกันแหละน่า

ไปถึงตอนแรกได้ยินแต่เสียง ไม่เห็นน้ำตก เห็นแต่ลำธารไม่ลึกมาก น้ำใสแจ๋ว มีสะพานให้ข้ามไปเดินเล่นได้ ยังคิดในใจว่า .. บร๊ะ .. ไหนว่า 60 เมตรไง มีแค่นี้เองเหรอ (ว๊ะ)? แล้วเสียงมันดังสนั่นขนาดนั้นไปได้ยังไงกัน? เลยเดินข้ามสะพานไปดู เลาะลัดไปตามโขดหินเล็กๆ อ้อมไปบนชะง่อนผาถึงได้มาถึงบางอ้อ ..

มันจะเห็นน้ำตกได้ยังไงกันล่ะ .. ก็ตรูอยู่บนยอดของน้ำตกนี่หว่า .. !@#$%^&* .. อ๊ากกกซ์ .. มองลงไปเห็นคนที่อยู่ด้านล่างของน้ำตกเหลือตัวนิดเดียว แข้งขาก็พาลจะอ่อนแรง เริ่มสั่นพับๆ อย่างไม่เป็นจังหวะ ต้องรีบตะเกียกตะกายกลับมาที่สะพานโดยพลัน มิฉะนั้นอาจได้เป็นพาดหัวข่าวใหญ่ลงหน้าหนังสือพิมพ์ของปะเทดลาวกันซะเปล่าๆ แต่ด้วยสปิริตและวิญญาณของผู้รายงานบล็อค จึงกลั้นใจทำหน้าที่เก็บภาพหวาดเสียวกลับมาฝากเพื่อนๆ บล็อคได้ชมกัน .. แฮ่ๆๆ .. สุดท้ายป๋มก็ตะกายกลับมาถึงสะพานได้โดยปลอดภัย อย่าประมาทและห้ามเอาเยี่ยงอย่างนะครับ อันตรายมากจริงๆ ป๋มลงไปดูด้วยความไม่รู้จริงๆ พอเห็นแล้วถึงรู้ว่าไม่ควรลงมาเลยตรู .. 555+



 
เดินข้ามสะพาน .. ลงไปดูลำธาร .. ที่เป็นยอดสูงสุดของตาดเยือง ..


มองลงไปจากยอดน้ำตกตาดเยือง .. ง่า .. สูงอิ๊บอ๋าย .. ศาลาชมวิวอยู่ตรงกลางทางระหว่างชั้นบนสุดกับชั้นล่างสุด ..

ข้ามสะพานกลับขึ้นมาได้ ก็เดินตามนักท่องเที่ยวคนอื่นเค้าไป เพราะทางลงไปด้านล่างของน้ำตกนะ อยู่ด้านหน้าโน่นไม่ใช่ตรงที่ผมลงไปดู ตรงนั้นบนเป็นยอดของน้ำตกต่างหาก พอไปถึงทางลง ก็มีกลุ่มนึงกำลังสวนขึ้นมาพอดี ในสภาพที่ทุลักทุเลสุดๆ เรียกได้ว่าแทบจะคลานกันขึ้นมาเลยทีเดียว มิน่าถึงมีเรือนพยาบาลอยู่ตรงหน้าทางขึ้น-ลง มองทีแรกนึกว่าใครมาสร้างรีสอร์ทไว้ให้เช่านอนเล่นซะอีก

 
ดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไร ลำธารก็ไม่ได้ลึกเลยซักนิด .. แต่พอพ้นหน้าผาไปเนี่ย .. ตกลงไปข้างล่างเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเลยทีเดียว ..

มองเห็นทางลง เป็นบันไดมีราวให้จับเรียบร้อย ไม่ชันเท่าไหร่แต่ลื่นพอสมควร อาจเป็นเพราะความชื้นจากละอองน้ำที่กระจายไปทั่วทำให้พื้นดินปกคลุมไปด้วยความชื้นตลอดเวลา เลยเดินตามเค้าลงไปเรื่อยๆ จนถึงศาลาชมวิว จากศาลาก็มีทางเดินลงไปอีกเพื่อลงสู่ชั้นล่างสุดของน้ำตก ระหว่างทางก็มีจุดถ่ายรูปน้ำตกสวยๆ หลายจุดเลย .. เอาล่ะ .. ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว สมควรที่จะลงไปสัมผัสกับสายน้ำจากน้ำตกที่อยู่ด้านล่างเสียหน่อย เย็นชื่นใจจริงๆ ครับ ละอองน้ำฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ เอากล้องมาถ่ายได้แป๊บเดียว ละอองน้ำเกาะไปทั่วตัวแล้ว เลยรีบถ่ายแล้วก็เก็บซะดีกว่า จากนั้นก็ดื่มด่ำกับอากาศเย็นสบาย สดชื่น อากาศชื้นๆ เหมือนตอนหลังฝนตกใหม่ๆ เลย

 
เดินมาตามทางเพื่อลงไปชั้นล่างของตาดเยือง ..


เรือนพยาบาล .. เกือบได้ใช้บริการแล้วไม๊ล่ะตรู .. เฮ้อ ..?

 
ทางขึ้น-ลงครับ .. อย่างที่เห็นแหละ .. ลื่นพอสมควรเลย .. ระวังให้มากๆ ด้วยนะครับ ..

พอชื่นชมความงามกันพอสมควรแล้ว ก็ได้เวลากลับขึ้นมาด้านบน นี่แหละที่เป็นช่วงเวลาที่สุดหฤโหดแบบนรกสุดๆ จริงๆ ต่างกับตอนเดินลงแบบลิบลับ รู้ซึ้งถึงสภาพร่างกายของตัวเองเป็นอย่างดีก็คราวนี้ เพราะการแบกน้ำหนักตัวเองต้านทานแรงโนมถ่วงของโลกขึ้นมานั้น บันไดที่ดูเหมือนไม่ชันเท่าไหร่ในตอนแรก ตอนนี้ทำไมมันช่างไต่ขึ้นไปได้ยากเย็นนักนะ กว่าจะก้าวขาขึ้นไปได้แต่ละขั้นทำไมมันลำบากยากเย็นเหลือหลาย จุดแวะพักทั้ง 2 จุดจากศาลาชมวิวถึงจุดเริ่มต้นด้านบนมีคนเข้าไปใช้บริการอย่างเนืองแน่น นั่งหอบกันหน้าเขียวหน้าแดง หายใจกันแทบไม่ทัน หัวใจเต้นตึกตักจนแทบจะหลุดออกมานอกหน้าอก แต่สุดท้ายก็ขึ้นมาถึงจนได้ครบทุกคนแบบทุลักทุเลอย่างที่เราเห็นก่อนลงไปนั่นแหละ ขณะนี้เราเองก็อยู่ในสภาพอย่างนั้นนั่นแหละ พร้อมกับสายตาของนักท่องเที่ยวกลุ่มต่อไปที่มองเราแปลกๆ เช่นเดียวกับที่เราเคยมองกลุ่มก่อนหน้าเรานั่นเอง .. 555+

 
สวยงาม .. ไม่ต้องมีคำบรรยาย ..

 
ตอนเดินลงไปเนี่ย .. ยังสบายๆ ชิลๆ ..

 
ชมความงามของตาดเยืองเสร็จแล้ว .. / ตอนขาขึ้นเนี่ย .. โอยยยย .. แทบจะเอาตัวไม่รอด .. ขาแทบจะก้าวไม่ออกเลยเชียว .. ใจสู้อย่างเดียวไม่พอ .. ร่างกายต้องพร้อมด้วยนะครับ .. ไม่อย่างงั้น .. แย่แน่ๆ ..


ดูเหมือนไม่สูงเท่าไหร่นะ .. แต่พลาดพลั้งร่วงลงไป .. คงไม่เหลือชีวิตรอดกลับเมืองไทยแน่ๆ .. >_< ..

ผ่านไปแล้วหนึ่ง ต่อไปก็จะไปต่อกันที่ ตาดฟาน คราวนี้สูงเป็น 2 เท่าของตาดเยือง คือตาดฟานเป็นน้ำตกที่สูงถึง 120 เมตรเลยทีเดียว ง่า .. แค่ 60 เมตร ตรูก็แทบจะพาสังขารขึ้นมาไม่ไหวอยู่แล้ว นี่มันตั้ง 120 เมตร ตรูคงเอาชีวิตไปทิ้งที่ตาดฟานซะละมั๊งคราวนี้ .. เฮ้อ .. คำว่า ฟาน หมายถึงกวาง ตาดฟานก็มีตำนานเช่นเดียวกันกับตาดเยืองนั่นแหละ ความสูงใหญ่ของตาดฟาน ไม่สามารถเข้าไปดูใกล้ๆ ได้เลย จุดชมวิวเป็นพื้นที่ของรีสอร์ท มีบ้านพักหลายหลัง บรรยากาศร่มรื่น อากาศดีมาก น่าจะมานอนค้างซักคืนเพื่อนอนฟังเสียงน้ำตกที่ดังตลอดวันตลอดคืน คงมีความสุขดีแท้หนอ ว่าไม๊?


ป้ายลีสอดใหญ่โต .. สนับสนุนโดยเบยลาว ..

 
เห็นความสูงของตาดฟานแล้ว .. ตาดเยืองกลายเป็นเด็กน้อยไปเลย .. สูงใหญ่มากๆ ครับ ..

 
ช่วงหน้าแล้งที่ผมไปเนี่ย .. น้ำไม่มาก .. น้ำตกทางซ้ายเลยไม่ค่อยมีน้ำซักเท่าไหร่ / บ้านพักสวยๆ น่ามานอนฟังเสียงน้ำตกทั้งคืนมากๆๆๆ ..


อยู่แบบนี้ไม่มีเหงาแน่ๆ .. สัญญาณโทรศัพท์มาถึงนะครับ .. เห็นไกด์บุนล้นคุยโทรศัพท์อยู่ ..

เดินพ้นจากจุดชมวิว ก็ผ่านมาในส่วนของที่พักและส่วนต้อนรับของรีสอร์ท แล้วก็จะวนออกมาข้างหน้าบริเวณที่จอดรถที่เราเข้ามานั่นแหละ แนะนำเลยครับ ให้เพิ่มเข้ามาไว้ในรายการที่พักอีกหนึ่งที่หากจะมาออกทริปที่ลาวใต้ ส่วนพวกเราก็เก็บภาพประทับใจกับความสูง 120 เมตรของตาดฟานจนพอใจแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางกันต่อ เพื่อไปสู่อีกหนึ่งน้ำตกที่มีชื่อเสียงจนเป็นที่ติดปากของนักท่องเที่ยวชาวไทย ด้วยชื่อที่แปลกในความหมายตามภาษาไทย แต่เป็นชื่อที่ธรรมดาสำหรับพี่น้องชาวลาว นั่นก็คือน้ำตกผาส้วมนั่นเอง


มาถึงน้ำตกผาส้วมกันบ้างนะ ..

 

 
ลองๆ อ่านกันดูนะครับ .. ว่าทำไม .. ทำไม และทำไม .. ??????

 


ทางเข้าร้านอาหารของคุณวิมล / มีร้านขายของที่ระลึก มีหนังสือ “เค้าหาว่าผมบ้า” ของคุณวิมลจำหน่ายด้วย เห็นคุณวิมลนั่งอยู่ในร้าน สามารถให้เซ็นต์ชื่อให้ได้เลย / ป้ายแนะนำและชี้แจงที่มีติดอยู่ทั่วบริเวณของอุทยาน ..

ที่นี่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า อุทยานบาเจียง ซึ่งมีนักธุรกิจชาวไทย เจ้าของหนังสือ “เค้าหาว่าผมบ้า” นั่นคือคุณ วิมล กิจบำรุง ได้รับสัมปทานจากทางการลาวให้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยมีทั้งร้านอาหาร รีสอร์ท ที่พัก ศูนย์ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมอย่างหมู่บ้านชนเผ่า อยู่ในบริเวณพื้นที่เดียวกัน ซึ่งไกด์บุนล้นของเราก็จองโต๊ะสำหรับอาหารกลางวันที่ร้านอาหารของคุณวิมลเอาไว้ด้วย โดยมากกรุ๊ปทัวร์ก็จะมากินข้าวกลางวันกันที่นี่ แล้วพออิ่มก็เดินเข้าชมน้ำตกผาส้วมที่อยู่แทบจะติดร้านอาหารเลย แล้วก็ปิดท้ายก็เข้าชมที่หมู่บ้านชนเผ่าที่เป็นการรวบรวมเอาวัฒนธรรม ที่อยู่อาศัย ความเป็นอยู่ ชีวิตประจำวันของชนเผ่าต่างๆ กว่า 50 เผ่าที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งปะเทดลาวมาสร้างอยู่รวมกันไว้ด้วยกัน เพื่อความสะดวกในการศึกษาชาติ-พันธุ์ ก็เป็นอันครบถ้วนสำหรับอุทยานบาเจียง


ภายในร้านอาหาร .. มีไกด์พาลูกทัวร์มากินข้าวกลางวันกันเนืองแน่น .. กับข้าวหมดเติมได้อีกด้วย .. ไม่แพงๆๆ แถมยังคุ้มสุดคุ้ม บรรยากาศดีๆ กินข้าวเคล้าเสียงน้ำตกกันเลย .. 

ร้านอาหารที่นี่ รสชาติเยี่ยมมาก ถูกปากคนไทยอย่างเราๆ อาหารแบบไทยๆ ใครที่จากบ้านมาหลายวันได้มากินอาหารที่นี่ก็พอจะช่วยบรรเทาความคิดถึงบ้านไปได้มากโขอยู่ บริการรวดเร็ว เติมได้อีกเช่นกัน ห้องน้ำก็สวยงาม สะอาดสะอ้าน ไม่เก็บค่าบริการ ดังคำชี้แจงที่คุณวิมลขึ้นป้ายเอาไว้ให้อ่านโดยทั่วกันทั้งบริเวณอุทยาน

 
ห้องน้ำสะอาดมากๆๆๆ .. มีการดูแลความสะอาดในทุกส่วนของอุทยานเป็นอย่างดี

เราเองก็กินข้าวกลางวันกันที่นี่ เสร็จแล้วก็ไปชมน้ำตกผาส้วม ต่อด้วยเข้าชมหมู่บ้านชนเผ่า ตามเสต็ปมาตรฐาน เลยเก็บเอาภาพมาฝากเพื่อนๆ บล็อคอีกเช่นเคย เอาไว้เพื่อจะได้เป็นแนวทางและมีประโยชน์บ้างสำหรับเพื่อนๆ ในการจัดวางแพลนหากต้องเดินทางมาเที่ยวลาวใต้

 


แล้วก็เดินออกมาทางนี้ เพื่อชมน้ำตกผาส้วม ..


มุมมหาชน .. ใครมาก็ต้องมาเก็บภาพกันที่มุมนี้แหละ ..

 
อีกมุมหนึ่งของน้ำตกผาส้วม .. / ข้ามสะพานไปออกลานจอดรถได้ด้วย .. เลี้ยวไปชมหมู่บ้านชนเผ่าก่อนก็ดีนะ ..

 


อีกมุม .. ที่ใครๆ ก็ชอบมานั่งตรงนี้ .. เก็บภาพถ่ายแสนสวยกับความทรงจำดีๆ กลับไปบ้าน ..

 
บ้านของชนเผ่าที่มาสร้างไว้ที่นี่ .. แค่บางส่วนนะ .. ดูๆ แล้วเหมือนเป็นศูนย์ศิลปวัฒนธรรมย่อมๆ เลยล่ะ ..

 
แวะเข้าไปเรือนของชนเผ่ากะตู (Katoo) เห็นแม่หญิงนั่งทอผ้าอยู่เลยแวะเข้าไปทักทาย .. ขออนุญาติถ่ายรูปมาฝากเพื่อนๆ บล็อคกันหน่อยนึง ..

จากน้ำตกผาส้วม นี่ก็บ่ายสองโมงแล้ว พวกเราก็เลยออกเดินทางเพื่อกลับไปที่ด่านและทำการผ่านแดนให้ทันเวลา 4 โมงเย็นตามคำแนะนำของไกด์ เพื่อกลับเข้าสู่ประเทศไทยกันเสียที ไกด์บุนล้นก็ติดรถกลับมาอุบลฯ กับพวกเราด้วย แล้วจะมีพี่มารับที่โรงแรมรีเจ้นท์ที่พวกเราจะพักในคืนนี้ เห็นบอกว่าวันรุ่งขึ้นจะเดินทางไปเกาะช้างต่อเลย ขอให้เดินทางปลอดภัยนะท้าวบุนล้น ขอบคุณที่ช่วยดูแล ให้ข้อมูลความรู้เรื่องต่างๆ ของปะเทดลาว ช่วยอำนวยความสะดวก จัดการเรื่องอาหารการกินและทุกๆ เรื่อง


โปรโมทให้บุนล้นหน่อยนึงแล้วกันนะ .. 

กลับมาถึงอุบลฯ ประมาณ 6 โมงเย็น แวะไปสั่งหมูยอให้แพ็คใส่กล่องเพื่อโหลดไปกับสัมภาระ เป็นของฝากที่มีชื่อของจังหวัดอุบลฯ ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็เข้าเช็คอินที่โรงแรมรีเจ้นท์อีกครั้ง เพื่อพักผ่อนอีกซักคืน ก่อนที่จะไปขึ้นเครื่องพรุ่งนี้เช้า

วันนี้จากลากับท้าวบุนล้น และคุณสิทธิ์คนขับรถตู้อย่างชื่นมื่น ชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ เป็นที่เรียบร้อย หวังว่าโอกาสหน้าอาจจะทริปที่ได้ร่วมทางกันด้วยความสนุกสนานแบบนี้อีกในคราวต่อๆ ไป และต่อๆ ไป ส่วนวันนี้พวกเราคงต้องขอตัวไปพักผ่อนกันก่อน ขอบคุณเพื่อนๆ บล็อคที่ติดตามอ่านกันมาข้ามวันข้ามคืนยาวเป็นเดือนกันเลย ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ทุกท่าน

ราตรีสวัสดิ์ครับ

ชมภาพเพิ่มเติมได้ที่ https://plus.google.com/u/1/photos/103736898918551133698/albums/5865884210849512801

ไปชมแบบรีวิว มี 2 ตอนนะ
ตอนแรก : ตอนที่สอง

| วันแรก | วันที่สอง | วันที่สาม | วันที่สี่ | วันที่ห้า |

 

เขียนเมื่อ : วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ.2555 เวลา 23:48 น. GMT+7 THAILAND
ผู้เขียน : Tombass

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น